พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 529

สำหรับความวุ่นวายภายในตระกูลหลี่ อวิ๋นหลิงกลับไม่ทราบเลยแม้แต่น้อย

เมื่อไม่มีห่านหัวโตส่งเสียงร้องแสบแก้วหู ก็รู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย

หลังจากที่เซียวปี้เฉิงสะสางราชการเสร็จก็กลับไปที่ตำหนักบูรพา ยิ้มพลางเอ่ยกับนาง "ครานี้เจ้าตัวน้อยลงมือได้เยี่ยมมาก เมื่อไม่กี่วันก่อนเสด็จพ่อเข้าไปคุยกับหลี่กุ้ยเฟยเป็นการส่วนตัว ไม่ยอมให้นางปูทางให้กับสตรีตระกูลหลี่เพื่อเข้าวัง”

จักรพรรดิจาวเหรินให้ความสนใจกับเรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้าเหล่านั้น แม้ว่าเฟิ่งเหมียนจะตัดสินหลี่เมิ่งเอ๋อร์จากรูปลักษณ์หน้าตาเพียงผู้เดียว แต่เขากลับขึ้นบัญชีดำตระกูลหลี่ไว้ทั้งหมดแล้ว

อวิ๋นหลิงเลิกคิ้วพลางถาม "ในเมื่อเป็นการพูดคุยส่วนตัวระหว่างเสด็จพ่อกับหลี่กุ้ยเฟย ฉะนั้นท่านทราบได้อย่างไรเล่า ลอบฟังผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?"

“แค่กแค่ก... ช่วยไม่ได้ พลังจิตสูงขึ้นไม่น้อย พอเดินผ่านตำหนักแสงซีจึงคิดจะเพิ่มพลังการฟังให้มากขึ้น ประจวบเหมาะที่ได้ยินทุกอย่างเข้าพอดี”

เมื่อเอ่ยถึงพลังจิตที่ตื่นขึ้นอย่างไม่คาดคิด เซียวปี้เฉิงเพียงรู้สึกว่าสะดวกขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับความสามารถในการเคลื่อนย้ายวัตถุ การเพิ่มพลังของประสาทสัมผัสทั้งห้าทักษะการมองและการฟังถือเป็นทักษะที่เขาใช้บ่อยที่สุด

หลังจากเพิ่มพลังแล้ว ทักษะการมองและการฟังของเขาจะสูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะตามได้ทัน

ขณะที่ไปลาดตระเวนค่ายทหาร จึงถือโอกาสยิงธนูยาว ปรากฏว่ายิงแม่นโดยไม่ต้องเปลืองแรงแต่อย่างใด ทำเอานายทหารในค่ายต่างประหลาดใจไปตามๆกัน

ทำให้เหตุการณ์เล็กๆน้อยๆในวังไม่อาจเล็ดรอดไปจากสายตาของเซียวปี้เฉิงได้อีกต่อไป สิ่งที่เหล่าขุนนางมักกระซิบกระซาบกันในยามปกติ เขานั้นล้วนรู้แจ้งทะลุปรุโปร่ง อีกทั้งได้รับข่าวสารไวยิ่งกว่าเหล่าองครักษ์เงาเสียอีก

เมื่อมีข่าวสารเหล่านี้ ก็ทำให้เขารับมือกับบรรดาขุนนางในราชสำนักได้อย่างคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้นและสามารถที่จะบีบคั้นอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย

หากบอกว่าความสามารถนี้ไม่ดีที่ใด ก็คงเป็นที่ถูกบังคับให้ฟังเรื่องนินทาแปลกๆ มากมายกระมัง

ไม่ว่าจะเป็นอุบายของนางกำนัลน้อยจากตำหนักฉางหนิงยอดเยี่ยมมาก ทั้งเหยียบเรือสองแคมและมีเล็กมีน้อยอีกมากมาย...

ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์ของตำหนักแสงซีมีนิสัยชอบไม้ป่าเดียวกัน ชอบแอบลวนลามขันทีน้อยของกรมวังในที่ลับตาคน...

ไม่ว่าจะเป็นขณะที่พระเจ้าหลวงบรรทมเมื่อคืนวานได้ผายลมไปสามครั้ง เสียงยังดังพอๆกับเสียงกรนของเขา...

“จริงสิ หลายวันมานี้ข้ามักจะได้ยินลู่ฉีซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องแอบเช็ดน้ำตาและร้องไห้ให้กับดอกไม้ในสวน ท่านโป้ปดจนทำเอาเขาทุกข์ใจ”

ข่าวที่ว่าจักรพรรดิจาวเหรินมอบจื่อเถาให้อภิเษกสมรสกับโม่อ๋องได้แพร่กระจายไปแล้ว ยามนี้ทุกคนในเมืองหลวงต่างลอบอิจฉาที่จื่อเถามีชีวิตที่ดีลู่ฉีเองก็ทราบข่าวนี้แล้วเช่นกัน

ก่อนหน้านี้อวิ๋นหลิงเกลี้ยกล่อมลู่ฉีว่าให้เขารวบรวมเงินให้พอสำหรับภรรยาก่อนจะขอแต่งงานกับจื่อเถา ตอนนี้รวบรวมเงินไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ทว่าภรรยาที่เฝ้าแต่นึกถึงกลับไม่มีแล้ว ทำให้หัวใจดวงน้อยได้รับความบอบช้ำอย่างรุนแรง

อวิ๋นหลิงรู้สึกละอายใจ “ผู้ใดให้เขานำเงินที่หามาอย่างยากลำบากทั้งหมดมอบให้กับจื่อเถา หากมิใช่ข้ากลัวว่าเขาจะทำให้ทรัพย์สินสูญเปล่าแล้ว ก็ยังเป็นผลดีต่อเขา”

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นางยังคงกำชับตงชิงไปหลายประโยค ขอให้นางช่วยปลอบใจลู่ฉีที่กำลังอกหักสักครา

ระยะนี้ลู่ฉีแลดูหดหู่ไร้ชีวิตชีวา คนเรายามอกหัก แม้แต่อาหารก็ไร้รสชาติ

ยามปกติมักจะพุ่งไปที่โต๊ะอาหารเป็นคนแรกเสมอ ทว่ายามนี้องครักษ์ด้านข้างกินไปแล้วถึงสามชาม ในชามเขากลับเหลือข้าวมากกว่าครึ่ง

ขณะพักกลางวัน ลู่ฉีนั่งอยู่ที่มุมทางเดิน แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ด้วยสีหน้าที่ระทมทุกข์

ตงชิงถือกล่องอาหารเดินมาข้างกายเขาด้วยฝีเท้าที่เร่งรีบแกมระมัดระวัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง

"ดูสิ! ขนมซู่ซานรสชาติใหม่จากร้านขนมเจินซ่าน!"

สิ่งที่เรียกว่า "ซู่ซาน" นั่นก็คือไอศกรีมในรูปแบบโบราณนั่นเอง

ต้าโจวเก่งในการทำดินปืนและอัตราการใช้ดินประสิวก็สูงมาก วิธีการทำน้ำแข็งเองได้รับความนิยมในหมู่ชาวบ้านมาหลายปีแล้ว

ทุกๆฤดูร้อน มักจะมีแตงโมแช่เย็นและผลไม้เย็นๆไว้ดื่มดับร้อน

ตงชิงเปิดกล่องอาหารและเห็นชามกระเบื้องสีขาวชามหนึ่งมีน้ำแข็งบดอยู่ตรงกลางจำนวนมาก บดจนเนื้อละเอียดอ่อนราดด้วยเนย ตกแต่งด้วยผลไม้สีแดงสด น้ำผึ้งสีทอง ทั้งยังมีแตงโมหั่นชิ้นเล็กและตกแต่งด้วยดอกไม้ มองดูแลงดงามตระการตานัก

เพราะอาหารชนิดนี้มีลักษณะคล้ายภูเขาลูกเล็กๆ ผู้คนจึงมักเรียกกันว่า "ซู่ซาน"

ลู่ฉีซึ่งปกติจะกินซู่ซานหนึ่งชามในแทบจะวันเว้นวัน ยามนี้กลับได้แต่มองดูมันอย่างเศร้าใจ

“เจ้ามาได้ยังไง”

“พระชายารัชทายาทเห็นว่าระยะนี้เจ้าไม่อยากอาหาร จึงได้ให้ข้ามาดูเจ้าเป็นการเฉพาะ ขนมซู่ซานนี้มีรสชาติเซียงจา เพิ่มความอยากอาหารยิ่งนัก”

เดิมทีอวิ๋นหลิงได้รับพระราชทานรางวัลเป็นขนมเรียกน้ำย่อยจากห้องเครื่อง แต่ตงชิงกลับเวลาหยุดครึ่งวันโดยเฉพาะเพื่อออกจากวังมาซื้อซู่ซาน

ราคาของซู่ซานไม่นับว่าถูก นางใช้เงินทั้งหมดของตนเองและรออยู่ใต้แสงแดดเป็นเวลานานจนผิวหนังของนางแทบจะลอกออก

ลู่ฉีเอ่ยอย่างตื่นเต้น โดยไม่รู้เลยว่าใบหน้าของตงชิงเปลี่ยนเป็นสีดำเข้มแล้ว

"เร็วเข้า ส่งชามซู่ซานนี้ให้ข้า ประเดี๋ยวข้าจะนำไปมอบให้กับซวงหลี!"

เขายื่นมือไปหยิบมัน แต่ตงชิงกลับหยิบกล่องอาหารขึ้นมาโดยทำหน้าตึงแล้วหันหลังกลับออกไป

“เจ้านำไปทำไมกัน? มิใช่ว่านำมามอบให้ข้าหรือ?”

ตงชิงเอ่ยด้วยความโกรธ "ซู่ชานชามนี้เป็นของข้า พระชายารัชทายาทจะตอบแทนเจ้าด้วยขนมเซียงจาหนึ่งกล่องเท่านั้น หากเจ้าต้องการก็ไปรับจากใต้เท้าเฉียวด้วยตนเอง!"

เอ่ยจบ นางก็จากไปด้วยความโกรธ ทิ้งให้ลู่ฉีมีสีหน้าสับสน

ไม่ใช่สิ เหตุใดต้องโกรธด้วยเล่า?

“ใจสตรีเปรียบเสมือนเข็มในมหาสมุทรจริงๆ อยู่ดีๆก็ชักสีหน้า...”

เซียวปี้เฉิงกำลังฝึกฝนพลังจิต ความเคลื่อนไหวบนทางเดินก็ไม่พ้นหูเขาได้เลย ดังนั้นจึงอดบ่นขึ้นไม่ได้

“ยังคิดอยากมีภรรยาหรือ โง่เขลาเช่นนี้ ซวงหลีจะชอบเขาก็บ้าแล้ว ได้กราบไหว้ฟ้าดินกับแม่ไก่ ข้ายังรู้สึกแม่ไก่ขาดทุนด้วยซ้ำ”

อวิ๋นหลิงยังยิ้มพลางส่ายหัว นางไม่มีเวลาว่างทำตัวเป็นแม่สื่อเพื่อหาภรรยาให้กับเด็กโง่เขลาอย่างลู่ฉี ประเดี๋ยวจะถึงต้นเดือนแปดแล้ว นางต้องเตรียมตัวสอบคัดเลือกเข้าเรียน

การสอบมีกำหนดในช่วงต้นเดือนแปดและกินเวลาสามวัน ครอบคลุมวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วรรณคดีและประวัติศาสตร์ ตลอดจนการปลูกฝังอุดมการณ์และศีลธรรม

คำถามสอบถูกกำหนดโดยบัณฑิตอาวุโสเหล่านั้น แต่เนื้อหาพื้นฐานมีเพียงแปดส่วนเท่านั้น

สองประเด็นที่เหลือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ประหลาดใจ อวิ๋นหลิงเป็นคนกำหนดหัวข้อเองและตอนนี้ข้อสอบชุดแรกก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว

เซียวปี้เฉิงหยิบม้วนหนังสือขึ้นมาแล้วมองดู และอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว

“หลิงเอ๋อร์ คำถามของเจ้า... ค่อนข้างน่าสนใจ”

แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ไม่รู้ว่านักเรียนเหล่านั้นจะตอบได้หรือไม่หรือจะกล้าตอบหรือไม่

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ