ตอนนี้เรนจิกำลังหลับอยู่ในอ้อมกอดของวายุหลังจากผ่านการร้องไห้อย่างหนัก ธาราธรมีน้ำตาคลอ ส่วนพีรพัฒน์ดวงตาแดงก่ำ มีเพียงวายุที่ยังนั่งนิ่งเอาแต่พิมพ์ข้อความในโทรศัพท์อย่างเคร่งเครียด จนยากจะคาดเดาเหลือเกินว่าตอนนี้วายุกำลังรู้สึกอะไรอยู่ เพราะเขาไม่แม้แต่จะร้องไห้ออกมาด้วยซ้ำ
“ทำไมยายผมต้องมาตกบันไดวันนี้ด้วย!” อยู่ๆ พีรพัฒน์ก็ตะโกนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย บนใบหน้ามีแต่น้ำตาที่ไหลอาบแก้มอยู่
“อย่าบอกนะว่าเคสตกบันไดเมื่อเช้าก็คือยายของนาย” ธาราธรหันไปมองพีรพัฒน์อย่างสงสัย
“ใช่ครับ ยายผมกับยี่หวามีเลือดกรุ๊ปเดียวกัน”
“ถ้าอย่างนั้นให้ยายของนายให้เลือดยี่หวาได้ไหม” ธาราธรถามออกไปทั้งที่ในใจก็รู้ดีอยู่แล้ว
“ไม่น่าจะได้ครับ เพราะยายผมอายุเยอะแล้ว แถมยังเพิ่งรับเลือดจากคนอื่นมาด้วย”
“แล้วจะทำยังไงกันดีเนี่ย!” ธาราธรกุมขมับ เพราะถ้ายี่หวาเป็นอะไรไปทั้งพี่เขาทั้งเรนจิได้เหมือนตายทั้งเป็นแน่
เรนจิที่ตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงคนคุยกันก็สะกิดวายุพร้อมกับยกแขนน้อยๆ ขึ้น วายุรู้ได้ทันทีว่าลูกเขาต้องการจะสื่อถึงอะไรจึงเอ่ยออกไปอย่างเฉยชา “ลูกยังเด็ก และถึงลูกโตก็ให้เลือดเธอไม่ได้อยู่ดี”
สิ้นเสียงวายุ เด็กน้อยในอ้อมกอดของเขาก็ร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ จนคนที่เห็นต่างก็รู้สึกปวดใจไปตามๆ กัน
“ติดต่อคลังเลือดใหญ่หรือยัง” ธวัฒน์หันไปพูดกับวายุ
“กำลังส่งเลือดมา” วายุเอ่ยด้วยเสียงเรียบ ทำเอาทุกคนหันไปมองทางเขาเป็นตาเดียว ก็รู้ว่าเขาไม่อยากพูดอะไรตอนนี้ แต่ถ้าได้เลือดแล้วก็น่าจะบอกให้รู้กันบ้างสิ พวกเขาก็เครียดกันเกือบตาย
แต่ถึงแม้จะได้เลือดแล้วก็จริง ก็ไม่รู้ว่าจะรักษาได้ทันไหม สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ก็คือภาวนาขอให้เธอปลอดภัย
ซึ่งเธอจะต้องปลอดภัย!
ขณะที่วายุกำลังควบคุมตัวเองไม่ให้คิดอะไรไปมากกว่านี้ก็รู้สึกได้ถึงเอกสารในมือที่เรนจิส่งให้เขาในตอนแรก เขายกขึ้นมาก่อนจะเปิดแล้วหยิบเอกสารข้างในออกมาดู แต่ทันทีที่เห็นข้อความภาษาอังกฤษและตัวเลขมากมายบนกระดาษ ความรู้สึกที่อดกลั้นมาทั้งหมดก็พังทลาย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้ออกมาหลังจากผ่านไปสี่ปี…
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดีใจ หรือเพราะกำลังกลัวอยู่กันแน่...
นี่คือสิ่งที่เธอต้องการจะบอกเขาในวันนี้งั้นเหรอ ถ้าไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถ้าเขาได้รับรู้จากปากเธอเองคงจะต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากแน่ๆ
แล้วทำไม...!?!
ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบขึ้นด้วย จะให้เขาและเธอมีความสุขดีๆ ไม่ได้เลยใช่ไหม ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธออีกเขาจะทำยังไง เขากับลูกจะอยู่ยังไง ยิ่งพอมารู้แบบนี้เขาจะบอกกับเรนจิยังไง
“ผู้หญิงคนนั้นกรุ๊ปเลือดเอบี” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยออกมาจากปากวายุ ทำเอาทุกคนหันมามองวายุก่อนจะนิ่งค้างไปตามๆ กัน
“นี่ลูกรู้อยู่ก่อนแล้วเหรอ แล้วทำไมถึงไม่พูดอะไรออกมาเลยล่ะ” พิญช์สิณีถามออกไปอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชายเขาต้องปิดบังเรื่องนี้ด้วย ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ชอบดาหลาสักหน่อย
“บอกให้เรนรู้ว่าแม่ของเขาไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น? แถมยังไม่รู้ว่าแม่ตัวเองเป็นใครมาจากไหนอีก?” อีกอย่างเขาก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เพราะยังไงผู้หญิงที่เขารักก็มีแต่ยี่หวา ถ้าสมมติว่าเขาตามหาผู้หญิงในคืนนั้นแล้วเธอเรียกร้องที่จะเอาลูกคืนไม่เท่ากับว่าขุดหลุมฝังตัวเองหรือไง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงในคืนนั้นจะเป็นยี่หวา...
“มันก็จริงอย่างที่พี่ว่า แต่ที่แน่ๆ พี่จำเรื่องในคืนนั้นไม่ได้เลยเหรอ” ธาราธรถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าพี่เขาจะจำเรื่องในคืนนั้นไม่ได้เลย ทั้งที่ผู้หญิงที่พี่เขามีอะไรด้วยก็คือคนที่พี่เขารัก
ส่วนพิชญ์สิณีถึงกับพูดอะไรไม่ออก เพราะไม่คิดว่ายากล่อมประสาทที่ผสมลงไปด้วยจะทำให้วายุไม่มีสติขนาดนั้น “แม่ขอโทษ...”
“สายไปแล้ว” วายุพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะกอดลูกชายในอ้อมกอดไว้แน่น พร้อมกับลูบหลังเบาๆ เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าเรนจิจะไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นแล้ว
“ขออนุญาตแทรกนะครับ เมื่อกี้คุณบอกว่าดาหลากรุ๊ปเลือดเอบีงั้นเหรอ” พีรพัฒน์หันไปพูดกับวายุ
“อืม”
“จะเป็นไปได้ยังไง! ก็พ่อผมกับยี่หวาเลือดกรุ๊ปโอ…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้หญิงคนนี้คือหม่ามี๊ของผม