ฉากที่ 25 เป็นฉากที่ทราฟฟิค ชายหนุ่มที่มีแต่ความอาฆาตแค้นต่อเวกัส พระเอกของเรื่อง เนื่องจากพ่อกับแม่ของเวกัสเคยหักหลังพ่อของทราฟฟิคจนฆ่าตัวตาย ส่วนแม่ของเขาตอนนี้ก็กลายเป็นคนไร้สติ เหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมพูดจามาสามปีแล้ว ซึ่งตอนนี้ทราฟฟิคกำลังนั่งเจรจากับประธานบริษัทแห่งหนึ่งอยู่ โดยที่พวกเขานั้นไม่รู้ตัวเลยว่าจะกลายมาเป็นเหยื่อในการแก้แค้นพวกมันแทนเขา และในขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั้นรอบตัวของทราฟฟิคก็มีแต่รังสีอำมหิต จนผู้คนรอบข้างหวาดผวา
เมื่อสิ้นสุดการเจรจาทุกคนก็รีบออกไปจากห้องประชุมทันที ปล่อยให้ทราฟฟิคอยู่คนเดียว เขาหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาพร้อมกับเปิดออก สายตามองไปยังรูปถ่ายในกระเป๋าด้วยแววตาคิดถึง และโหยหาต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ ผ่านไปสักพักดวงตาของทราฟฟิคก็เริ่มแดง ก่อนเขาจะถอนหายใจออกมาแรงๆ และเอนตัวพิงโซฟาอย่างหมดแรง
พร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คิดถึง...ฉันคิดถึงเธอ”
“คัท! เยี่ยมมาก” เสียงผู้กำกับดังขึ้น ทำให้เดวิลหลุดจากภวังค์ที่กำลังคิดถึงยี่หวาก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าในตอนแรกเขาจะสวมบทบาทของทราฟฟิคก็จริง แต่หลังจากนั้นก็เป็นความรู้สึกของเขาล้วนๆ เลย…
ผ่านไปไม่นานก็เป็นเวลาบ่ายสอง ยี่หวาที่เตรียมตัวเก็บของเพื่อที่จะไปรับคนเก่งของเธอ โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ทำเอาเธอไม่กล้ากดรับสายเลย แต่เธอก็ต้องกดรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “สวัสดีค่ะ”
“ผมเอง”
“ค่ะ” เธอรู้ เพราะเธอบันทึกชื่อของเขาว่า [ท่านประธานภูวิศ] ไว้ในโทรศัพท์มือถือแล้ว “คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ตอนนี้เธออยู่ไหน”
“ฉันอยู่ที่บริษัทค่ะ ทำไมเหรอคะ”
“ไปรับเรนพร้อมกัน เดี๋ยวฉันไปรับเธอก่อนส่งที่อยู่มา” เป็นการพูดเผด็จการที่ยากจะปฏิเสธจริงๆ
“เอ่อ…งั้นคุณมารับฉันที่คอนโดก็ได้ค่ะ เพราะที่ทำงานฉันไม่ไกลจากคอนโดเท่าไหร่ ฉันจะได้เอารถไปเก็บที่นั่นด้วย”
“ครับ” และปลายสายก็ถูกตัดไปเลย ผู้ชายคนนี้จะเผด็จการเกินไปแล้ว!!!
จากนั้นยี่หวาก็รีบขับรถกลับคอนโด เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรอนาน แต่เมื่อเธอมาถึงก็เห็นรถที่คุ้นเคยจอดอยู่ตรงทางเข้าข้างหน้าอยู่ก่อนแล้ว ไม่รอช้ายี่หวารีบขับรถไปจอดแล้ววิ่งมายังรถของวายุอย่างรีบร้อน “รอนานไหมคะ”
“ไม่นาน ฉันก็เพิ่งมา”
“โอเคค่ะ” ยี่หวาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะเธอรู้ดีว่าเวลาแต่ละนาทีของผู้ชายตรงหน้าเธอมีค่าขนาดไหน
“ว่าแต่เธอมีเรื่องอะไรจะพูด” เพราะเขาอยากรู้มากจนไม่มีกะจิตกะใจทำงานต่อเลย สุดท้ายเพราะทนไม่ไหวเลยต้องมารับเธอเอง
“คือว่าพี่ชายให้ฉันไปแสดงหนังค่ะ แต่ว่าฉันยังกังวลเรื่องในอดีตอยู่ พี่ก็เลยบอกให้ฉันเผชิญหน้ากับมันดู เพราะงั้นฉันเลยอยากจะถามเรื่องเก่าๆ จากคุณ” น้ำเสียงยี่หวาตอนนี้แฝงไปด้วยความเกรงใจ
วายุยังคงเงียบไม่ตอบ เพราะเขาไม่อยากให้ผู้หญิงของตัวเองกลายเป็นของคนอื่น เขาเชื่อว่าถ้าใครเห็นเธอต่างก็ต้องตกหลุมรักชัวร์ แต่เขาก็รู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาถ้าตัดสินใจทำอะไรแล้วไม่ว่าใครก็ไม่สามารถไปห้ามได้
ยิ่งเขาที่ตอนนี้ไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเธอก็คงได้แต่ยอมรับ…
“เธอไม่ต้องกังวล ฉันจะปกป้องเธอเอง”
“เอ่อ…” ยี่หวาถึงกับพูดไม่ออก เขาจะมาปกป้องอะไรเธอได้ เพราะเขาเองก็เป็นคนของฝั่งนั้น
วายุที่หันไปเห็นสีหน้าลำบากใจของยี่หวา ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันอยู่ฝั่งเดียวกับเธอ”
“เรื่องในอดีตของฉันคงแย่มากเลยสินะคะ” ยี่หวารู้ว่าที่ผู้ชายคนนี้ไม่บอกเธอเป็นเพราะกลัวว่าเธอจะรับไม่ได้แน่ๆ คนในบ้านนั้นรังแกอะไรเธอบ้างล่ะเนี่ย “งั้นฉันเชื่อคุณก็ได้”
เชื่อว่าเขาจะสามารถปกป้องเธอจากคนพวกนั้นได้
“วางใจเถอะ” เขาไม่มีทางยอมให้ใครมาทำร้ายเธอได้ ครั้งนี้เขาจะปกป้องเธอด้วยชีวิตของตัวเองเลย
“ขอบคุณค่ะ”
สักพักรถของวายุก็ขับมาถึงประตูหน้าโรงเรียน ทันทีที่ทั้งคู่ลงมาจากรถทุกสายตาก็หันมาจับจ้องพวกเขากันเป็นตาเดียว พร้อมกับส่งเสียงเบาๆ ทำให้วายุกับยี่หวาที่เดินผ่านได้ยิน
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นภรรยาของท่านประธานภูวิศจริงด้วย”
“แต่พวกเขาเหมาะสมกันจริงๆ นั่นแหละ ทั้งสวยทั้งหล่อ ไม่แปลกที่ลูกออกมาน่ารักขนาดนั้น”
ยี่หวารีบหันไปกระซิบกับวายุด้วยท่าทีกังวล “ให้ฉันแก้ไหม”
วายุยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวหญิงสาวด้านข้าง “ไม่ต้อง” พวกเขาทำดีแล้ว
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นท่านประธานภูวิศยิ้ม ไม่คิดว่าทำเอาป้าแก่ๆ อย่างฉันเกือบจะละลายเลย”
“อิจฉาผู้หญิงคนนั้นจัง”
ยี่หวาได้แต่เดินต่ออย่างไม่สนใจ เพราะตอนนี้ในใจเธอมีแต่คนเก่งเท่านั้น เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียนก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณครูกำลังปล่อยนักเรียนออกมาพอดี
ยี่หวารีบหันไปหาวายุเพื่อบ่งบอกว่าเธอขอเข้าไปรับเรนจิเอง ซึ่งวายุก็พยักหน้าทีหนึ่ง ส่วนเขาก็ยืนรอตรงหน้าทางเข้า สายตามองตามหลังหญิงสาวอย่างไม่ละสายตา
เรนจิที่เพิ่งเดินออกมาพอเห็นยี่หวาก็รีบวิ่งเข้าไปหา ซึ่งยี่หวาก็อุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมกอดอย่างรู้งาน กลายเป็นความเคยชินของทั้งคู่ไปแล้ว “ดีใจที่หม่ามี๊มารับ”
“ถ้าเธอไม่เหมาะ บนโลกนี้ก็ไม่มีใครเหมาะ” สีหน้าวายุดูจริงจัง แต่มันก็ไม่ทำให้หญิงสาวตรงหน้าเขารู้อยู่ดี
ยี่หวาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย สีหน้ายอมแพ้ “คุณชนะ”
เรนจิแทบอยากจะร้องว้าวออกมา ไม่คิดว่าพ่อตัวเองจะมีกลยุทธ์จีบสาวกับเขาด้วย สงสัยเขาคงต้องมองพ่อตัวเองใหม่แล้ว
ขณะที่ยี่หวากำลังเดินซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร ผู้คนในตลาดทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างก็มองมาที่พวกเขากันเป็นตาเดียว
“ที่นี่มีถ่ายหนังเหรอ”
“ไหนกล้อง เขาซ่อนกล้องไว้ตรงไหน”
“ทำไมถึงได้ดูดีกันทั้งบ้านขนาดนี้ โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กที่ดูเหมือนจะได้ทั้งพ่อทั้งแม่มาเลย โครงหน้าได้พ่อ ปากกับตาได้แม่”
“ฉันอิจฉาพวกเขาจัง”
“ผู้ชายคนนั้นหล่อมาก หล่อเกินไป หล่อจนไร้คำบรรยาย”
“ผู้หญิงก็เหมือนกัน สวยมาก แถมยังขาวมาก หุ่นก็ดีมากไร้ที่ติจริงๆ”
วายุที่ได้ยินแทบจะหลุดยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ผู้หญิงของเขาสวยมากจริงๆ สวยจนแม้แต่ผู้หญิงด้วยกันก็ยังต้องชม
“สงสัยหน้าฉันคงจะเหมือนผู้หญิงคนนั้นมากเลยสินะคะ ทุกคนเลยคิดว่าฉันเป็นแม่ของเรนกันหมดเลย” ยี่หวาหันไปพูดกับวายุ
“เธอก็คือเธอ” เธอไม่มีทางเหมือนใคร แล้วก็ไม่มีใครที่เหมือนเธอ “อันที่จริงเรนหน้าไม่เหมือนคนนั้นเลยสักนิด” เรื่องนี้เขาก็ยังคงแปลกใจที่ใบหน้าของเรนจิดูคล้ายกับยี่หวามากกว่าดาหลาเสียอีก สงสัยเป็นเพราะว่าพวกเธอทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน
“นี่ต้องเป็นพรหมลิขิตของฉันกับเรนแน่เลย”
“เรนคิดเหมือนหม่ามี๊” โชคดีที่เขาเกิดมาหน้าไม่เหมือนแม่ แถมดูเหมือนว่าหน้าเขาจะเหมือนหม่ามี๊ด้วย ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
วายุมองทั้งสองคนที่กำลังหัวเราะด้วยแววตาอบอุ่น และเอื้อมมือไปลูบหัวยี่หวาเบาๆ “พรหมลิขิตของฉันด้วย”
“เอ่อ…เรารีบซื้อรีบกลับกันดีกว่าค่ะ คนเริ่มมองมาทางนี้เยอะแล้ว” ยี่หวาพูดเสร็จก็รีบเดินซื้อของต่อ โดยมีวายุเป็นคนถือให้เพราะเธออุ้มเรนจิอยู่ เนื่องจากเจ้าตัวไม่ยอมให้พ่อของตัวเองเป็นคนอุ้ม ส่วนยี่หวาก็ไม่อยากปล่อยให้เรนเดินเองเพราะที่พื้นค่อนข้างสกปรก
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ทานข้าวด้วยกันที่คอนโดยี่หวา และกว่าเรนจิจะยอมกลับบ้านก็เล่นซะดึกเลย แถมวายุก็ดูจะพึงพอใจที่ได้อยู่ที่นี่จนดึกเหมือนกัน ยี่หวาจึงไม่กล้าขัดปล่อยให้พวกเขาได้นั่งเล่น ส่วนเธอก็นั่งอ่านบทที่ได้มาจนตอนนี้จำได้หมดแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้หญิงคนนี้คือหม่ามี๊ของผม