“แค่กๆๆ ——”
กู้เทียนเอินสำลักจนอาหารเกือบเข้าหลอดลม เขาพิงไหล่อวี้หนานเฉิงไอออกมาไม่หยุดจนหน้าดำหน้าแดง อวี้หนานเฉิงทำสีหน้ารังเกียจ ก่อนจะค่อยๆ ผลักเขาออก
“อาหารนายพุ่งออกมาหมดแล้ว”
เซิ่งอันหรานมองไปยังคนทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉย กลับมาพูดเข้าประเด็นสำคัญ
“บอกมา พวกนายสองคนมีเรื่องอะไรปิดบังฉันอยู่?”
กู้เทียนเอินชำเลืองมองอวี้หนานเฉิง แววตาลังเลอย่างเห็นได้ชัด อวี้หนานเฉิงถอดเสื้อสูทอันเต็มไปด้วยข้าวที่กู้เทียนเอินสำลักออกมาด้วยความรังเกียจแล้ววางไว้ข้างๆ จากนั้นคลายเนกไทให้หลวม
ขณะกำลังคลายเนกไทพลางครุ่นคิดว่า ไม่จำเป็นต้องปิดบังเซิ่งอันหรานอีกต่อไป
“ส่งเสี่ยวซิงซิงและจิ่งซีไปอยู่ต่างประเทศชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยของพวกเขาทั้งสองคน”
เขาหยุดชะงักไปชั่วครู่ และพูดเสริมว่า
“เทียนเอินสืบเจออะไรบางอย่าง”
เซิ่งอันหรานกลับดูไม่แปลกใจ เธอหันหน้าจากอวี้หนานเฉิงไปหากู้เทียนเอินอย่างใจเย็น
“เทียนเอินพูดมา”
กู้เทียนเอินขมวดคิ้ว เวลานี้สีหน้าของเขาเอาจริงเอาจัง
“จำรอยสักที่ผมบอกคุณเมื่อครั้งก่อนได้ไหม? เพราะเรื่องนี้ ผมต้องเดินทางไปไกลถึงเวียดนาม และได้รู้อะไรบางอย่างมาจากตำรวจเวียดนาม ตอนนั้นลัทธิจันทร์ดับบอกว่าการล่มสลายของสมาคมเนื่องมาจากความขัดแย้งภายใน หัวหน้าที่พัวพันกับเรื่องนี้ถูกจับในที่เกิดเหตุ แต่หุ้นส่วนคนสำคัญคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังคงลอยนวลอยู่จนถึงตอนนี้”
“แล้วยังไง?”
“กุญแจสำคัญคือหุ้นส่วนคนนี้ เขาคือนายหญิงคนนั้น เมื่อห้าปีก่อนที่ผมคอยติดตามเขา และเป็นช่วงเดียวกันที่นำสินค้าล็อตใหญ่มาให้เขา และสินค้านี้เหล่านี้ทำให้นายหญิงคนนี้ได้ที่นั่งมั่นคงในตำแหน่งผู้ทรงอำนาจในเวียดนาม และคาดไม่ถึงว่าสินค้าล็อตนี้ ก็คือสินค้าล็อตนั้นที่หายไปในอุบัติเหตุไซครอปส์เมื่อห้าปีก่อน”
“นายว่าอะไรนะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคิ้วของเซิ่งอันหรานขมวดเข้าหากันจนบิดเบี้ยว ความหนาวเย็นแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย นิ้วมือม้วนเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
การกล่าวถึงไซครอปส์เมื่อห้าปีก่อนขึ้นมาอย่างกะทันหัน สิ่งนี้ทำให้เซิ่งอันหรานไม่ทันตั้งตัว ภาพจำที่ยุ่งเหยิงน่าหวาดกลัวฉายเข้ามาในหัวทันที
กู้เทียนเอินสังเกตเห็นว่าใบหน้าเซิ่งอันหรานซีดลงอย่างรวดเร็ว คำพูดที่วนเวียนอยู่รอบริมฝีปากหลายรอบ จึงกลืนมันกลับลงไปอย่างเสียไม่ได้
เขาเหลือบมองไปยังอวี้หนานเฉิง
อวี้หนานเฉิงโน้มตัวมาข้างหน้า ฝ่ามือใหญ่อันอบอุ่นและมั่นคงกุมมือของเซิ่งอันหรานเอาไว้แน่น ความหนาวเย็นของเคาน์เตอร์หินก่อนกับความอบอุ่นจากฝ่ามือของอวี้หนานเฉิง ทำให้หัวใจของเซิ่งอันหรานเงียบสงบลง
“ในปีนั้นเกิดเหตุเพลิงไหม้บนเกาะ ทุกคนรวมทั้งไซครอปส์ถูกเผาตายในคราวเดียว นอกจากนี้ยังมีศพผู้หญิงคนหนึ่ง หลังจากตรวจสอบขั้นสุดท้ายตามการเปรียบเทียบข้อมูลดีเอ็นเอระบุว่าผู้ตายคือเกาชุ่ย”
น้ำเสียงของอวี้หนานเฉิงฟังดูเยือกเย็นยิ่งว่าน้ำเสียงของกู้เทียนเอิน เสียงนั้นค่อยๆ เข้ามาในโสตประสาทหูของเซิ่งอันหราน ราวกับว่าความเหน็บหนาวได้กระตุ้นหัวใจเธอ
“เกาหย่าเหวิน”
คำพูดสามพยางค์ที่เล็ดลอดออกมาระหว่างไรฟันและริมฝีปาก
กู้เทียนเอินหยักหน้าเห็นด้วย
“หัวหน้าที่อยู่เวียดนามคนนี้กับไซครอปส์เดิมทีมีเรื่องบาดหมางกันมาตลอด เรื่องเกิดขึ้นโดยบังเอิญแบบนี้ ดังนั้นเราจึงมีมูลเหตุให้สงสัยว่า คนที่ลี้ภัยเป็นหัวหน้าอยู่เวียดนามเมื่อห้าปีก่อน เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเกาหย่าเหวิน ตอนนี้เธอหนีไปแล้ว และมีความเป็นไปได้สูงอีกเช่นกันว่าเธอจะอยู่ที่จินหลิง”
กู้เทียนเอินพูดพลางหยิบรูปถ่ายเมื่อนานมาแล้วออกมาจากในกระเป๋า เป็นภาพในกล้องวงจรปิดของผู้หญิงคนนั้นที่ผลักจินน่าลงบันได และหยิบภาพอีกใบขึ้นมา เป็นวาดเสมือนจริงในสมัยก่อนของเกาหย่าเหวิน จากนั้นวางรูปทั้งสองใบไว้บนโต๊ะ
ผู้หญิงที่อยู่ในกล้องวงจรปิดห่อหุ้มตัวไว้อย่างแน่นหนา ทั้งสองคนไม่มีความคล้ายคลึงกันเลยสักนิด
“ดูด้วยตาเปล่าคงตัดสินไม่ได้ แต่ผมส่งรูปทั้งสองรูปนี้ไปให้เพื่อนร่วมงานในแผนกนิติเวชวินิจฉัยเรียบร้อยแล้ว แม้ภายนอกของคนทั้งคู่จะแตกต่างกัน แต่โครงกระดูกที่ใช้ตบตาและรูปร่างโดยรวมแล้วคล้ายคลึงกันมาก” เขากล่าวสรุป
“ผมสงสัยว่าเกาหย่าเหวินผ่าตัดทำศัลยกรรม”
อากาศเย็นพัดผ่านด้านหลัง
์กู้เทียนเอินค่อยๆ เอนร่างกายพิงพนักเก้าอี้ นิ้วของเขาเคาะอยู่บนเคาน์เตอร์หินอ่อนครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกิดเป็นเสียงดัง “ป๊อก ป๊อก” พร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
“เรื่องโทรศัพท์ยังดำเนินการต่อ ผมให้เพื่อนร่วมงานตรวจสอบให้แล้ว ถ้ามีการเชื่อมต่อสัญญาณก็จะค้นหาข้อมูลเหล่านี้ได้ทันที แต่ผมเดาว่าเขาคงจะขายมันเร็วๆ นี้ และเปลี่ยนไปใช้หมายเลขโทรศัพท์เครื่องอื่น”
เซิ่งอันหรานพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง อวี้หนานเฉิงจับมือเธอเพื่อปลอบประโลม
“ดังนั้นตอนนี้จึงต้องส่งเสี่ยวซิงซิงและจิ่งซีไปต่างประเทศ เกาหย่าเหวินออกนอกประเทศไม่ได้อีกแล้ว พวกเขาทั้งสองจะปลอดภัย คุณไม่ต้องกังวล”
เซิ่งอันหรานยิ้มเบาๆ สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย เธอรวบรวมความกล้าลุกขึ้นยืน เก้าอี้ที่อยู่ด้านล่างส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อขูดกับพื้น
เอ่ยปากพูดอีกครั้งด้วยท่าทางมั่นใจ
“ฉันไม่ได้กังวลเรื่องเกาหย่าเหวิน เธอไม่มีค่าพอให้ฉันทุกข์ใจ แต่สิ่งที่เธอทำกับน่าน่าและคุณปู่ ฉันจะทำให้เธอได้ชดใช้อย่างสาสม”
พูดจบก็หยักไหล่ แสดงออกถึงความเหน็ดเหนื่อย
“อีกสักพักฉันจะไปเข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันทักษะความรู้ของนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลจินหลิง ไม่มีพลังให้คอยกังวลมากขนาดนั้นหรอก”
เธอพูดขณะเดินไปที่ห้องพร้อมกับหยิบเอากระเป๋าออกมาด้วย อวี้หนานเฉิงเมื่อเปลี่ยนเป็นชุดสะอาดเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาเช่นกัน เขาเดินตามหลังเธอมา ก่อนจะเอ่ยเสียงราบ
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
“คุณอยู่คนเดียวผมไม่สบายใจ” คำพูดนี้ถูกทิ้งไว้ใต้ก้นบึ้งหัวใจของเขา แต่เซิ่งอันหรานกลับสัมผัสได้ เธอสะพายกระเป๋าไว้บนไหล่พร้อมกับพยักหน้า การกระทำที่ยังไม่เสร็จดีถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
อวี้หนานเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องมองหมายเลขคนโทรเข้าอย่างลังเลใจ
โทรศัพท์ของโจวหลานสายนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน อวี้หนานเฉิงนึกถึงเรื่องที่สั่งให้เขาเร่งตรวจสอบในหลายวันมานี้ เขากังวลใจจนในที่สุดก็กดรับสาย เมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย สีหน้าเขาพลันหมองลงทันที
หลังจากวางสายโทรศัพท์ จากการแสดงออกของอวี้หนานเฉิงเซิ่งอันหรานดูออกว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น เขาจัดขอบคอเสื้อสูทที่เปลี่ยนมาใหม่ให้เรียบ จัดเนกไทให้ตรง ครั้นแล้วยิ้มออกมา
“คุณไปทำธุระเถอะ เสร็จแล้วค่อยโทรหาฉัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน