“ได้ยิน!” เปปเปอร์ก้มหน้าลงเพื่อปิดบังความรู้สึกอึดอัดในดวงตาเขาแล้วตอบกลับมาเบาๆ
เขารู้สึกว่าเธอด่าได้ดีมาก
ส้มเปรี้ยวเบิกตาจ้องมองเขาอย่างเหลือเชื่อ “คุณได้ยินแล้ว แต่คุณยังไม่ช่วยฉันอีกเหรอ?”
มายมิ้นท์และราเม็งก็มองไปทางเปปเปอร์เช่นกัน
นั่นสิ เมื่อสักครู่ส้มเปรี้ยวถูกทั้งสองด่าถึงขนาดนั้น แต่เขากลับไม่ก้าวออกมาช่วยเธอ
เขารักส้มเปรี้ยวมาก และไม่ยอมให้ส้มเปรี้ยวต้องถูกใครรังแกไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมเมื่อสักครู่ที่ส้มเปรี้ยวถูกด่าขนาดนั้นเขาจึงยอมได้?
มันดูผิดปกติไปนะ!
เปปเปอร์เห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของมายมิ้นท์ ก็ดูเหมือนจะเดาได้ว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่ ดวงตาจึงได้มืดมนลง
เขาอยากจะบอกกับเธอว่าเขาไม่ได้รักส้มเปรี้ยว ไม่ว่าส้มเปรี้ยวจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเขา
แต่สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าอย่าทำแบบนั้น บางทีเมื่อพูดออกไปอาจไม่มีผลดี
สัญชาตญาณความรู้สึกนี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนแม้แต่เขาเองก็อยากที่จะไม่สนใจมัน
เปปเปอร์ปล่อยส้มเปรี้ยวออก มือของเขาใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วกำมันแน่น น้ำเสียงเยือกเย็นตอบกลับว่า “คงไม่ดีที่จะช่วยคุณ”
“ทำไมล่ะคะ?” ส้มเปรี้ยวถามด้วยความแปลกใจ
มายมิ้นท์ก็เลิกคิ้วขึ้นเช่นกัน
เธอเองก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น
เปปเปอร์เม้มริมฝีปาก สีหน้าของเขาพูดโกหกออกมาอย่างน่าตายว่า “เมื่อสักครู่มายมิ้นท์ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าคุณเป็นสุนัข แต่คุณกลับยอมรับเอง ถ้าตอนนี้ผมเข้าไปช่วยคุณพูดอีก ก็ยิ่งชี้ให้เห็นว่าคุณเป็นสุนัขไม่ใช่หรือไง?”
เขาเน้นย้ำตอนที่พูดคำว่าสุนัขออกมา
มายมิ้นท์ไม่รู้ว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าเธอจะฟังออกถึงน้ำเสียงเยาะเย้ยและเน้นย้ำนั้น
เขาเน้นย้ำอะไรนะ เน้นย้ำว่าส้มเปรี้ยวเป็นสุนัขเหรอ?
ความคิดนี้ทำให้มายมิ้นท์หัวเราะออกมาแล้วส่ายหน้า จะเป็นไปได้ยังไง
เธอคงจะฟังผิดไปเอง!
ส้มเปรี้ยวเป็นเหมือนดวงใจของเขา เขาจะยอมรับว่าเธอเป็นสุนัขได้อย่างไร?
หแต่ส้มเปรี้ยวกลับฟังไม่ออกถึงความผิดปกติในประโยคเมื่อครู่ของเปปเปอร์ เธอเม้มริมฝีปากแล้วพยักหน้า “ที่คุณพูดก็ถูกค่ะ”
แม้ว่าในใจเธอจะรู้สึกถึงความแปลกประหลาด มันแปลกจนบอกไม่ถูก เธอจึงไม่อยากจะไปคิดถึงมันอีก
เมื่อเปปเปอร์รู้ว่าเธอคงไม่ก่อเรื่องขึ้นมาอีกแล้ว คิ้วทั้งสองข้างที่ขมวดเข้าหากันก็คลายลง
ตอนนี้เขาค่อนข้างที่จะชัดเจน เพียงแค่เธอไม่ก่อเรื่องขึ้นมา และตัวเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปปลอบเธอ เขาก็จะไม่ถูกพลังลึกลับนั้นเข้ามาบังคับแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น เปปเปอร์ ก็ใช้นิ้วมือถูกันไปมาพูดว่า “เอาละครับ เรื่องนี้ไม่อาจหาข้อสรุปได้ตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนเรื่องของภัตตาคารพวกคุณ......”
เขาหันไปมองทางผู้จัดการร้าน
ผู้จัดการร้านจึงได้ยืดตัวตรงพูดว่า “พวกเราจะให้ความร่วมมือในการตรวจสอบกับทางตำรวจอย่างเต็มที่ครับ!”
เปปเปอร์พยักหน้าแล้วมองไปทางมายมิ้นท์ด้วยแววตาอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “คุณว่ายังไง?”
มายมิ้นท์ไม่ตอบกลับ เธอทำท่าทางตกตะลึง
ราเม็งตบลงไปที่บ่าของเธอเบาๆ “พี่ครับ”
“ขอโทษที ฉันใจลอยไปหน่อย มีเรื่องอะไรเหรอ?” มายมิ้นท์ได้สติกลับคืนมา แล้วพยายามฉีกยิ้มอย่างเขินอาย
แต่ในใจลึกๆ ของเธอไม่อาจทำให้หัวใจดวงนั้นสงบลงได้เลย
แววตาเมื่อสักครู่ของเปปเปอร์ มันเหมือนกับเปปเปอร์ในตอนนั้นเหลือเกิน
แต่ราเม็งไม่ได้เห็นถึงความผิดปกติไปของมายมิ้นท์ เขาตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า “ประธานเปปเปอร์บอกว่าเรื่องนี้ต่อให้พวกเราสนทนากันไปก็คงหาบทสรุปไม่ได้ ควรส่งมอบให้เป็นหน้าที่ของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไปจัดการ”
“อ๋อเหรอ อย่างนี้ก็ดี” มายมิ้นท์พยักหน้าเห็นด้วย
ต่อมาผู้จัดการร้านก็ได้โทรศัพท์แจ้งความ
มีเจ้าหน้าที่จากทางตำรวจเดินทางมา และสอบปากคำทั้งสี่คนอย่างง่ายๆ ก่อนจะแจ้งให้ทั้งสี่คนเดินทางออกจากร้านได้
มายมิ้นท์และราเม็งเดินทางออกไปก่อน
แต่เปปเปอร์กับส้มเปรี้ยวกำลังรอคนขับรถอยู่
ส้มเปรี้ยวเห็นสายตาคู่นั้นของเปปเปอร์มองไปทางมายมิ้นท์ที่ขับรถออกไป ในใจของเธอก็เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
เธออยากจะเข้าไปจับศีรษะเขาหันกลับมาเหลือเกิน แล้วบอกกับเขาว่าอย่ามองมายมิ้นท์ มองได้แค่เพียงเธอและเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น!
แต่เธอก็ไม่กล้าทำ เนื่องจากเธอรู้ดีว่าถ้าเธอทำแบบนี้เขาก็จะเล่นสงครามเย็นกับเธออีก
วันพรุ่งนี้เธอจะให้เปปเปอร์ไล่คนขับรถที่กล้าดีเช่นนี้ออกไปเสีย!
ส้มเปรี้ยวยืนเช็ดหน้าอย่างโมโห ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปที่ประตูใหญ่ของคฤหาสน์
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์กำลังนั่งมาส์กหน้าอยู่ในห้องรับแขก เมื่อเห็นว่าเธอเดินเข้ามาอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ก็รีบดึงมาสก์หน้าออกเเล้วถามว่า “ส้มเปรี้ยว เป็นอะไรไปลูก ออกไปรับประทานอาหารกับเปปเปอร์มาไม่ใช่เหรอ ที่จะขอเปปเปอร์คืนดีด้วยเขาปฏิเสธเหรอ?”
ส้มเปรี้ยวถูกคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ลากให้มานั่งด้านข้าง “ไม่ใช่หรอกค่ะ พวกเราคืนดีกันแล้ว”
แม้ว่าเธอจะไม่ได้เอ่ยปากขอคืนดีกับเปปเปอร์ และเปปเปอร์ก็ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ
แต่ในคืนนี้ เมื่อเห็นท่าทางของเขาที่ปฏิบัติต่อเธอดังเดิม คาดว่าคงจะคืนดีกันแล้ว
“งั้นก็ดีสิ แต่ทำไมลูกทำท่าทางไม่มีความสุขแบบนั้นล่ะ?” คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์มองไปยังเธอด้วยความรู้สึกงุนงง
ส้มเปรี้ยวกัดฟันกรอด “ก็เพราะคนขับรถของเขาน่ะสิคะ ขับออกไปไม่ดูตาม้าตาเรือ ทำให้หนูสำลักควันแทบตาย”
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์จึงได้ยกแก้วชาน้ำผึ้งให้เธอ “โถ่ แม่คิดว่ามีเรื่องอะไรเสียอีก ลูกแค่บอกกับเปปเปอร์ให้เขาไล่ออกก็ได้นี่ จะไปโมโหทำไม? ทำร้ายสุขภาพร่างกายของตัวเองอีกต่างหาก ไม่คุ้มเลย อ้าวกินน้ำก่อน”
ส้มเปรี้ยวไม่แม้แต่จะเอ่ยขอบคุณ เธอก็รับน้ำไปดื่มอยู่สองอึก “พ่อล่ะคะ?”
เธอเอ่ยถาม
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ชี้ไปที่ด้านบน “ทำงานอยู่ในห้องหนังสือน่ะ”
ส้มเปรี้ยวพยักหน้าเป็นความหมายว่ารับรู้แล้ว
ทันใดนั้นก็มีคนรับใช้เดินลงมาจากข้างบน “คุณนายคะ จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“แม่คะ มีแขกจะมาพักบ้านเราเหรอ?” ส้มเปรี้ยววางแก้วน้ำแล้วหันไปมองทางคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์
คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์สัมผัสไปที่สร้อยคอแล้วยิ้มขึ้นพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ใช่หรอก เป็นห้องที่แม่จัดไว้ให้พี่สาวเราน่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ดวงตาของส้มเปรี้ยวก็หรี่ลง น้ำเสียงเธอดูไม่เป็นธรรมชาติเอ่ยถามขึ้นว่า “พี่......จะกลับมาแล้วเหรอคะ?”
ให้ตายสิ อย่าบอกนะว่าหาชวนชมเจอแล้ว
ไม่อย่างนั้นจะจัดห้องให้เธอทำไม?
“เปล่าหรอก” คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ถอนหายใจออกมา “ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวของชวนชมเลย แม่แค่อยากจะจัดห้องเอาไว้ก่อน รอให้ชวนชมกลับมาก็จะได้มีที่พักอาศัย”
“อย่างนี้นี่เอง......” ส้มเปรี้ยวพยายามฉีกยิ้ม รอยยิ้มของเธอดูไม่จริงใจเอาเสียเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...