ผู้ช่วยเหมันตร์ถูกลมที่ประตูพัดมากระทบกับใบหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบคลำจมูกของตนเอง
อ้อ มองดูแล้วประธานเปปเปอร์ไม่อยากจะให้เขาเข้าไปสินะ
ไม่ให้เข้าก็ไม่เข้า! เขาไม่อยากจะเข้าไปเห็นสภาพของสองคนนั้นสักหน่อย
ผู้ช่วยเหมันตร์ยักไหล่แล้วหันหลังเดินตรงไปที่ลิฟต์
ภายในคอนโด เปปเปอร์ถือถุงสองใบกลับมาที่ห้องนั่งเล่น
เมื่อเขาวางของลงมายมิ้นท์ก็เดินออกมาจากห้อง
เธอล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นเขาวางของเอาไว้บนโต๊ะเธอก็ถามออกมาด้วยความสงสัย “นั่นอะไร?”
“อาหารเช้าครับ” เปปเปอร์หยิบถุงหนึ่งออกมาแล้วพูดว่า “ผมให้ผู้ช่วยเหมันตร์เอามาให้น่ะ”
มายมิ้นท์พยักหน้าเป็นความหมายว่าเธอรู้แล้ว
เปปเปอร์มองดูเธอแล้วถามว่า “ผมยืมห้องใช้หน่อยได้ไหม?”
“ทำอะไรคะ?” มายมิ้นท์กะพริบตามองเขาด้วยความงุนงง
เปปเปอร์หยิบอีกถุงหนึ่งขึ้นมาแล้วพูดว่า “เปลี่ยนชุด”
มายมิ้นท์เหลือบตามองดูไปที่ถุงใบนั้นแล้วทำหน้าบูดบึ้ง เบ้ปากตอบว่า “คุณแอบเข้าไปในห้องฉันบ่อยๆ ไม่ใช่หรือไง ตอนนี้ถ้าคุณอยากจะใช้ห้องฉันก็เข้าไปเลยสิ จะมาเอ่ยถามฉันทำไมอีก?”
เปปเปอร์ฟังออกถึงน้ำเสียงอันเยาะเย้ยของเธอ เขากระแอมเบาๆ ออกมา “ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าผมไม่ต้องแอบเข้าไปแล้วสินะ?”
เขาจะเข้าไปอย่างเปิดเผย
“คุณยังอยากจะมีครั้งหน้าอีกเหรอ?” มายมิ้นท์จ้องเขาตาเขม็ง
เปปเปอร์เผยอริมฝีปากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เนื่องจากเขารู้ดีว่าตนไม่ควรจะก่อไฟขึ้นให้มากกว่านี้ เพราะหากว่าเธอโมโหขึ้นมาจริงๆ ไม่รู้ว่าจะปลอบเธอยังไงดี
เมื่อมายมิ้นท์เห็นว่าเปปเปอร์หุบปากของเขาลงแล้ว เธอก็ถอนลมหายใจออกมา “เอาล่ะค่ะ คุณรีบเข้าไปเถอะ"
เธอโบกมือเป็นความหมายให้เขารีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
เปปเปอร์ตอบรับ จากนั้นจึงเดินถือชุดเข้าไปในห้องของเธอ
ในไม่ช้าเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย มายมิ้นท์จัดเตรียมอาหารเช้าออกมาวาง
เปปเปอร์เดินตรงเข้าไปลากเก้าอี้ออกมานั่งและกินอาหารเช้ากับเธอ
หลังจากกินไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง โทรศัพท์มือถือของมายมิ้นท์ก็ดังขึ้น
มายมิ้นท์วางตะเกียบในมือลงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองดู
เปปเปอร์จ้องมองไปที่โทรศัพท์มือถือของเธอแล้วถามว่า “ใคร?”
“การันต์” มายมิ้นท์ไม่ได้ปิดบังเขา เธอรีบกลืนอาหารที่อยู่ในปากแล้วตอบ
เปปเปอร์จึงได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ถ้าเป็นการันต์ก็ไม่มีปัญหา
แค่ไม่ใช่ศัตรูหัวใจก็พอ เขาไม่สนใจหรอก
เปปเปอร์ก้มหน้ารับประทานอาหารเช้าต่อ มายมิ้นท์รับสายแล้ววางโทรศัพท์มือถือข้างหู “สวัสดีค่ะคุณหมอการันต์”
อีกฝ่ายของโทรศัพท์เมื่อการันต์ได้ยินว่าเป็นเสียงเธอ เขาจึงตั้งใจแซวว่า ทำไมไม่ใช่เปปเปอร์เป็นคนรับสายล่ะครับ?”
มายมิ้นท์เงยหน้ามองดูเปปเปอร์ “เขาทานอาหารเช้าอยู่ค่ะ”
การันต์เลิกคิ้วขึ้น “โอ้ เขายังอยู่ที่บ้านคุณอีกเหรอ?”
“ค่ะ……” มายมิ้นท์ตอบรับ
การันต์เปิดลำโพงโทรศัพท์มือถือและวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะถอดแว่นตาออกมาแล้วหยิบกระดาษเช็ดแว่นออกมาเช็ดพลางพูดว่า “ดูเหมือนเมื่อคืนเปปเปอร์ไม่ได้โกหกผม พวกคุณกำลังจะกลับมาอยู่ด้วยกันแล้วจริงๆ”
มายมิ้นท์บีบรอยยิ้มที่มุมปาก “ก็ทำนองนั้นค่ะ เขาทำเรื่องราวต่างๆ ให้ฉันมากมายเหลือเกิน อีกอย่างตอนนี้เขาก็จริงใจกับฉัน ดังนั้น…… ฉันจึงเต็มใจที่จะก้าวออกมาเพื่อเชื่อเขาและลองดูอีกสักครั้ง”
ฝั่งตรงข้ามเมื่อได้ยินประโยคนี้ของเธอ เปปเปอร์ก็วางตะเกียบลง เงยหน้ามองดูเธอด้วยสายตาอันลึกซึ้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “มายมิ้นท์ ขอบคุณนะครับ”
ขอบคุณที่คุณยอมเชื่อผม
มายมิ้นท์เข้าใจถึงคำว่าขอบคุณของเขา เธอจึงยกโทรศัพท์มือถือห่างออกไปเล็กน้อยแล้วพูดว่า “คุณควรจะขอบคุณที่ตัวเองในตอนนั้นถูกสะกดจิต ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นล่ะก็ฉันคงไม่ยกโทษให้คุณง่ายๆ หรอก”
การที่เธอส่งดารามาย ไปที่เขา ก็เท่ากับสร้างปัญหาให้แก่เขา
“ไม่เป็นการรบกวนเลยครับ ดูเหมือนผมควรจะขอบคุณคุณด้วยซ้ำ” การันต์ขยับแว่นของเขาทำให้สะท้อนแสงเป็นประกาย
มายมิ้นท์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “อะไรนะคะ หมายความว่ายังไงกัน?”
“เมื่อสักครู่ผมบอกกับคุณไปแล้วว่าผมให้ยาระงับประสาทเธอ”
มายมิ้นท์พยักหน้า “ใช่ค่ะ”
การันต์เผยถึงเสียงหัวเราะอันมืดมนออกมา “ยาระงับประสาทนั้นได้รับการพัฒนาโดยแผนกวิจัยของโรงพยาบาลเรา เป็นตัวใหม่ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทดลองแต่ในสัตว์ ส่วนการทดลองในมนุษย์นั้นเนื่องจากช่วงนี้เราขาดแคลนอาสาสมัครจึงทำให้ล่าช้าไป อีกทั้งผู้ป่วยของทีมแพทย์ต่างก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงอันตรายนี้เพื่อทดลอง เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะมีผลกระทบอะไรหรือเปล่า ดังนั้นผมจึงเอามาใช้กับดารามายมองดูแล้วเหมือนจะได้ผลดีทีเดียว แต่ยังไม่รู้ว่ามีผลข้างเคียงไหม เพียงแค่ไม่ตายก็พอ”
มายมิ้นท์กระตุกริมฝีปากเล็กน้อย
นี่เขาใช้ดารามายเป็นหนูทดลองหรือ?
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เป็นอย่างที่เขาพูด ตราบใดที่ไม่ตายก็พอ ส่วนเรื่องของผลข้างเคียงไม่สำคัญ
ดารามายวางยาพิษพ่อ นิสัยของเธอเต็มไปด้วยความชั่วร้าย การที่เธอจะสละตนเองช่วยเหลือสังคมด้วยการทดลองทางการแพทย์เล็กๆ น้อยๆ จะเป็นไรไป
“อ้อใช่สิ เมื่อคืนนี้ผมสั่งให้เปปเปอร์ส่งต่อข้อมูลถึงคุณ เขาได้พูดกับคุณหรือเปล่า?” การันต์หยิบมีดผ่าตัดออกมาเล่นแล้วเอ่ยถาม มายมิ้นท์พยักหน้าแล้วมองไปทางเปปเปอร์ “บอกแล้วค่ะ”
เปปเปอร์คีบฮะเก๋าให้กับเธอ
แม้เขาจะไม่รู้ว่าการันต์พูดอะไรกับเธอ แต่เขาดูจากแววตาเธอนั้น พอเดาได้ว่ากำลังพูดถึงตัวเขาอยู่
“ในเมื่อเขาบอกแล้ว คุณก็ควรจะรู้แล้วว่าเราไม่อาจนำไข่ออกมาจากรังไข่ของดารามายได้ แล้วคุณยังตั้งใจจะให้เธอมีลูกอยู่หรือเปล่า?” การันต์หมุนมีดผ่าตัดในมือจนเป็นเกิดเป็นเงา
มายมิ้นท์เม้มริมฝีปากแดงเรื่อของเธอแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ใช่ค่ะ ฉันจะให้เธอมีทายาทสืบต่อของตระกูลสักคน”
“แล้วทำไมคุณไม่มีทายาทเอง?” การันต์ถามด้วยความงุนงง “ไม่ใช่ว่าคุณมีลูกไม่ได้สักหน่อย ก็แค่ต้องรออีกสักสองปี ลูกของคุณกับเปปเปอร์ก็นับว่าเป็นทายาทตระกูลกิตติภัคโสภณเหมือนกัน ทำไมถึงต้องอ้อมค้อมให้ดารามายเป็นผู้สืบสกุล”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นของเขาว่าลูกของคุณและเปปเปอร์ ในใจมายมิ้นท์ก็รู้สึกเศร้าโศก
เพราะว่าเธอนึกถึงลูกคนก่อนหน้าที่แท้งไป
ตอนนั้นเธอยังไม่ได้ตกหลุมรักเปปเปอร์ขึ้นอีกครั้ง ประกอบกับเด็กคนนั้นยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง นับไม่ได้ว่าเป็นทารก ดังนั้นความรู้สึกของเธอที่มีต่อเด็กคนนั้นจึงไม่ได้ลึกซึ้งเท่าไรนัก ตอนที่เพิ่งแท้ง เธอก็รู้สึกเคว้งคว้างและมืดมนหดหู่ แต่ในไม่ช้าเธอก็กลับกลายมาเป็นปกติ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...