เธอจ้องมองแขนซ้ายของเขา แล้วก็ตบไปเบา ๆ
เปปเปอร์ขยับแขนไปเล็กน้อย แล้วก็พูดอย่างอ่อนโยนขึ้นว่า “ผมได้ยินแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะจำได้หรือเปล่านะ ดังนั้นมายมิ้นท์ ต่อไปนี้คุณมาคอยจับตาดูผมดีไหม?”
“จับตาดูเหรอคะ?”
“อืม” เปปเปอร์เชิดคางขึ้นมาเล็กน้อย “คอยจับตาดูผมอย่าให้ยกของหนัก อย่าให้ออกกำลังกายรุนแรง จะได้ทำให้แขนผมหายดีสนิทโดยเร็วไง”
เรียวปากแดงของมายมิ้นท์ขยับเล็กน้อย กำลังจะเปิดปากพูดอะไรขึ้นมา
การันต์ที่อยู่ด้านข้างก็ดันแว่นเล็กน้อย แล้วพูดอย่างเบาสบายขึ้นว่า “คอยจับตาดูอะไร ความหมายของเขาก็คือ หลังจากนี้ไป จะให้คุณมาคอยอยู่ข้าง ๆ เขาให้มาก ๆ ก็เท่านั้น”
อุณหภูมิบนใบหน้าเปปเปอร์หายวับไปในชั่วพริบตา จนกลายมาเป็นน้ำแข็งเย็นยะเยือกจนทำให้คนหนาวสะท้าน แล้วจ้องมองไปที่เขาด้วยสายตามืดมน “คุณไม่พูดมาก ก็ไม่มีใครหาว่าคุณเป็นใบ้หรอกนะ”
การันต์ยักไหล่ขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวอะไร “ผมก็แค่ไม่อยากให้เธอโดนคุณหลอกลวงไปแบบโง่เขลาเท่านั้น”
เปปเปอร์โมโหจนอยากจะชกเขาไปสักหมัด
นี่คือการหลอกลวงเหรอ?
นี่มันคือการแสดงความรักกันระหว่างคู่รักต่างหาก
เขาเป็นคนโสดคนหนึ่งจะไปรู้เรื่องอะไร!
จ้องมองทั้งสองคนที่โต้เถียงกันไปมา มายมิ้นท์ก็ก่ายหน้าผากขึ้นมาอย่างขำขัน “เอาละค่ะ เลิกทะเลาะกันเถอะค่ะ”
เธอนวดขมับไปเล็กน้อย แล้วพูดกับการันต์ขึ้นว่า “คุณหมอการันต์ ขอบคุณความหวังดีของคุณมากนะคะ แต่ฉันเข้าใจความหมายของเขาค่ะ”
เธอไม่ได้โง่ซะหน่อย ไม่มีทางที่จะฟังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของเปปเปอร์หรอก ก็แค่อยากให้เธอไปอยู่ข้างกายเขาให้มาก ๆ เท่านั้น
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่กลับใช้คำว่าจับตาดูสามคำนี้มาบังหน้าไว้ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าโดนหลอกลวงเลยแม้แต่น้อย
เพราะว่าสถานการณ์แบบนี้ ก็เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ในระหว่างคู่รักอยู่แล้ว
ในบางครั้ง การพูดตรง ๆ ก็ทำให้จิตใจหวั่นไหวสู้การพูดอ้อมค้อมไม่ได้
นี่แหละคือความสนุก
แต่ว่าการันต์ไม่เคยมีความรัก ดังนั้นจึงไม่เข้าใจความคดเคี้ยวที่อยู่ข้างในนี้
แต่ว่าความตั้งใจที่เขาไม่อยากให้เธอโดนหลอกนั้นเป็นสิ่งที่ดี สำหรับจุดนี้ เธอรู้สึกซาบซึ้งมากจริง ๆ
“คุณรู้เหรอ?” คราวนี้การันต์รู้สึกแปลกใจขึ้นมาแล้ว
มายมิ้นท์ตอบอืมไปคำหนึ่ง “แน่นอนค่ะ”
เปปเปอร์โอบไหล่ของเธอเอาไว้ แล้วส่งสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามไปที่การันต์ทีหนึ่ง “ประจบสอพลอผิดที่นี่มันรู้สึกยังไงบ้างนะ?”
มุมปากของการันต์กระตุกขึ้นทีหนึ่ง แล้วไม่พูดอะไรอีก
มายมิ้นท์ใช้ศอกกระทุ้งชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเล็กน้อย เพื่อส่งสัญญาณให้เขาอย่าพูดมาก จากนั้นก็ยิ้มอย่างเก้อเขินให้กับการันต์ “ขอโทษด้วยนะคะคุณหมอการันต์ เขา……”
“เอาล่ะ” การันต์โบกมือเล็กน้อย “ใช่ ผมไม่เข้าใจความคิดของพวกคนมีความรักอย่างพวกคุณเอาแหละ มีเรื่องอะไรทำไมไปพูดกันตรง ๆ ไปเลย? ต้องมาอ้อมค้อมกันไปอะไรมากมาย วุ่นวายจริง ๆ ยังดีนะที่ผมไม่มีความรู้สึก ไม่งั้นผมต้องกลุ้มใจตายแน่ ๆ”
ตั้งแต่เด็ก เขาก็ถูกตรวจพบว่ามีอาการโรคบุคลิกภาพผิดปกติ ต่อต้านสังคม รวมทั้งเป็นโรคขาดความสมดุลทางอารมณ์ด้วย ดังนั้นจึงโดนพ่อแม่รวมทั้งผู้คนรอบตัวรังเกียจมาตลอด แถมยังโดนเรียกว่าเป็นปิศาจร้ายที่ไร้ความรู้สึกอีก
เขาไม่เข้าใจ ว่าตัวเองไร้ความรู้สึกยังไง จนเมื่อเติบโตขึ้นมาตามอายุ แล้วในตอนที่มองเห็นว่าในระหว่างผู้คนที่อยู่รอบข้าง มีของอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น มาดึงให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น มาทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้นกว่าเดิม แต่ตัวเองกลับไม่มีความรู้สึกอะไรเลยนั้น เขาถึงได้รู้สึกตัวว่า ตัวเองไร้ความรู้สึกจริง ๆ และสัมผัสไม่ถึงความรู้สึกด้วย
มายมิ้นท์ตอบอืมไปคำหนึ่ง “แน่นอนว่าต้องจริงอยู่แล้ว คุณก็แค่มีความรู้สึกจืดจางมากกว่าคนอื่นเท่านั้น แต่ไม่ได้ไม่มีความรู้สึกเลย ดังนั้นคุณก็ไม่ใช่สัตว์ประหลาดอย่างที่คนอื่นว่าด้วย”
พอได้ยินคำพูดนี้ จู่ ๆ หัวใจของการันต์ก็เต้นตูมตามขึ้นมาสองที จากนั้นสายตาก็มองไปที่มายมิ้นท์อย่างแน่วแน่
เปปเปอร์ที่อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่พอใจขึ้นมา แล้วจูงมือมายมิ้นท์ไว้ และลากเธอมาหลบอยู่หลังตัวเอง จากนั้นตัวเองก็เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว เอาตัวมาบังอยู่ตรงหน้ามายมิ้นท์ แล้วจดจ้องการันต์ไว้ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “มองพอหรือยัง?”
การันต์ไม่ได้สนใจเขา หรี่ตาลงแล้วหัวเราะขึ้นมาคำหนึ่ง “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่มีคนพูดกับผมแบบนี้ ผมไม่ได้เป็นสัตว์ประหลาดมายมิ้นท์ คุณนี่เป็นนางฟ้าจริง ๆ”
ในตอนเด็ก ตอนที่ตัวเองตกลงไปในบ่อน้ำ น้ำที่เย็นยะเยือกของบ่อน้ำก็ท่วมหัวของตัวเองไป แล้วตัวเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้แต่ตะเกียกตะกายร้องขอความช่วยเหลืออยู่ในบ่อน้ำไม่หยุด
แต่ว่าคนมากมายที่เดินผ่านและเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็ไม่มีใครยอมหยุดแล้วยื่นมือมาช่วยเหลือเขา กลับมองข้ามเขาไปอย่างรังเกียจ แล้วก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว อย่างกับว่าถ้าเดินช้าไป ก็จะโดนสัตว์ประหลาดที่ไม่มีความรู้สึกอย่างเขาฆ่าทิ้งไปยังไงอย่างงั้น
แต่พวกเขากลับไม่รู้เลย เขาไม่เคยสนใจคนธรรมดาอย่างพวกเขาเลย เขาสนใจแต่พวกนักโทษที่โหดเหี้ยมและทำผิดมหันต์เท่านั้น การควบคุมความเป็นความตายของคนพวกนั้นต่างหาก ถึงจะสามารถทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุดได้
แต่ว่าคนพวกนั้น กลับไม่เคยให้โอกาสเขาได้พูดเรื่องพวกนี้ออกมาเลยสักครั้ง
และจากที่ตัวเองค่อย ๆ หมดเรี่ยวแรงไป ในตอนที่เกือบจะจมลงสู่ก้นบ่อน้ำนั้น นางฟ้าก็ได้ปรากฏตัวออกมา
มายมิ้นท์หาไม้อันหนึ่งยื่นมาให้เขา ให้เขาเกาะไว้ แล้วเธอก็ช่วยเขาขึ้นมา
ในวินาทีนั้น อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่า ที่จริงอยู่บนโลกใบนี้ เขาก็ไม่ได้เป็นที่น่ารังเกียจของคนอื่นมากขนาดนั้นมั้ง อย่างน้อย ก็มีสายตาของคนคนหนึ่งที่มองมาที่ตัวเองแบบไม่ได้รังเกียจ แต่กลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและร้อนใจ
และตั้งแต่วินาทีนั้น เขาก็สาบานขึ้นว่า เขาจะต้องปกป้องเธอไปตลอดชีวิต จะดีกับเธอ เพราะว่าเธอทำให้เขาเห็นว่า โลกใบนี้ ไม่ได้มีแต่สีขาวกับดำทั้งหมด แต่ยังมีสีสันอื่น ถ้าเกิดสูญเสียเธอไป งั้นโลกของเขา ก็จะเปลี่ยนกลับไปกลายเป็นสีขาวกับสีดำอีกครั้งแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เขายังเคยคิดเลยว่า ทำไมตัวเองถึงไม่มีความรู้สึก ถ้าหากว่ามีละก็ เขาจะต้องตกหลุมรักเธอเข้าแน่
พอตอนนี้เธอบอกว่า ที่จริงแล้วเขาก็มีความรู้สึก แต่ตัวเขาเองก็รู้ดี ว่านั่นไม่ใช่ความรักแบบญาติพี่น้อง คนรักแบบคนรัก หรือความรักแบบเพื่อนอย่างที่เห็นกันทั่วไป แต่เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...