รักหวานอมเปรี้ยว นิยาย บท 670

ยิ่งไปกว่านั้น เธอเองก็มีเรื่องที่ปิดบังเขาอยู่เช่นกัน

ได้ยินมายมิ้นท์พูดอย่างนี้ ผู้ช่วยเหมันตร์จึงคลายกังวลในทันที “ขอบคุณนะครับที่คุณมายมิ้นท์เข้าใจ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” มายมิ้นท์ส่ายหัว “งั้นคุณอยู่ที่นั่นดูแลท่านย่าเถอะค่ะ มีเรื่องอะไรก็โทรมาหาฉันได้เลยนะ ถ้าเปปเปอร์ตื่นแล้ว ฉันก็จะบอกให้คุณทราบเช่นกัน คืนนี้ ฉันคงไม่กลับไปแล้ว”

เธอเตรียมอยู่ที่นี่ เป็นเพื่อนเปปเปอร์

ถึงยังไงอีกไม่กี่สิบชั่วโมงก็จะเป็นวันพรุ่งนี้แล้ว

เปปเปอร์คงไม่นอนยาวไปจนถึงอีกวันหรอก ดังนั้นหากเธอกลับไป แล้วเขาทำเรื่องโง่ๆขึ้นมาอีกจะทำยังไง?

“ครับ ผมจะดูแลทางนี้เอง งั้นก็รบกวนคุณมายมิ้นท์ดูแลประธานเปปเปอร์ด้วยนะครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์พยักหน้าตอบรับ

มายมิ้นท์โบกๆมือ “ไม่เป็นไรค่ะ ดูแลเขาเป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว ฉันเองก็รับปากท่านย่าไว้แต่แรกแล้วด้วย ว่าวันนี้จะอยู่เป็นเพื่อนเขา”

“ได้ครับ คุณมายมิ้นท์ งั้นผมวางก่อนนะครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์เห็นป้าแดงกำลังย้ายของอะไรอยู่ในห้องคนไข้ จึงเตรียมจะเข้าไปช่วย

แต่มายมิ้นท์กลับเรียกเขาไว้ทันที “เดี๋ยวค่ะผู้ช่วยเหมันตร์”

ผู้ช่วยเหมันตร์หยุดฝีเท้า “คุณมายมิ้นท์ยังมีอะไรอีกเหรอครับ?”

“ฉันอยากให้คุณช่วยหาจิตแพทย์สักคนน่ะค่ะ ที่วันนี้ของทุกปีนิสัยของเปปเปอร์เปลี่ยนไปอย่างมาก นั่นเป็นเพราะจิตใจของเขามีปัญหา เขาจึงต้องรับการรักษาทางจิตใจ ไม่งั้นต่อไปก็ต้องเป็นเช่นนี้ทุกปี นี่มันไม่ใช่เรื่องดี สำหรับเขาเลย” มายมิ้นท์พูดด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมจริงจัง

เธอไม่ได้บอกผู้ช่วยเหมันตร์ ถึงปมในใจที่แท้จริงของเปปเปอร์ ที่เป็นเพราะรู้สึกว่าการเกิดมาของตนเอง ทำให้แม่หมดหนทางที่จะออกไปจากตระกูลนวบดินทร์ หมดหนทางที่จะไขว่คว้าความสุขของตนเอง จนเป็นเหตุให้ท้ายที่สุดต้องฆ่าตัวตายอย่างสิ้นหวัง

เขาคิดว่าการมีตัวตนของเขาทำร้ายแม่จนถึงแก่ความตาย เขาคิดว่าเขานี่แหละที่เป็นฆาตกร

แต่ผู้ช่วยเหมันตร์กับท่านย่าพวกเขา คิดว่าปมในใจของเปปเปอร์คือการเห็นฉากที่แม่ฆ่าตัวตายด้วยตาตัวเอง

แม้จะสิบกว่าปีมาแล้ว เปปเปอร์ก็ไม่เคยบอกใครเลยว่า ปมในใจที่แท้จริงของเขาไม่ใช่อย่างที่ผู้ช่วยเหมันตร์กับท่านย่าคิด งั้นเธอจึงไม่ควรพูดแทนเขา

เท่าที่เธอเห็น เรื่องนี้ ให้เขาเป็นคนพูดออกมาเองจะดีกว่า

เพราะการรอคอยจนถึงวันนั้นที่เขาพอจะพูดออกมาเองได้ ก็แสดงว่า เขาอาจจะปล่อยวางได้แล้ว หลุดพ้นแล้ว เข้าใจแล้ว

“คุณมายมิ้นท์ ผมเข้าใจความหมายของคุณนะครับ ผมก็รู้ดีว่าประธานเปปเปอร์เป็นโรคทางใจประเภทหนึ่ง ถ้าไม่แก้ไข มันจะไม่มีผลดีต่อประธานเปปเปอร์เลย แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยหาจิตแพทย์ให้ประธานเปปเปอร์นะครับ ไม่ว่าจะเป็นผม หรือเป็นพวกท่านย่า ต่างก็เคยหาให้ประธานเปปเปอร์กันทั้งนั้น แต่ประธานเปปเปอร์กลับปฏิเสธทุกคน” ผู้ช่วยเหมันตร์ฝืนยิ้มตอบกลับไป: “ประธานเปปเปอร์ ไม่ยินยอมที่จะได้รับคำแนะนำทางด้านจิตใจเลยครับ”

มายมิ้นท์ไม่ได้แปลกใจสักนิดกับคำตอบของผู้ช่วยเหมันตร์ ถึงขั้นที่เป็นสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้ด้วย

ถ้าเปปเปอร์ยอมรับคำแนะนำทางด้านจิตใจตั้งแต่แรก ปมในใจของเขาอาจจะปล่อยวางไปนานแล้ว คงไม่ติดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้หรอก

ดังนั้นเห็นได้ชัดเจนว่า เขาไม่เคยยอมรับคำแนะนำทางด้านจิตใจเลย

“ไม่เป็นไร คุณหาเถอะ ฉันจะทำให้เปปเปอร์ไปพบจิตแพทย์อย่างว่าง่ายเองค่ะ” มายมิ้นท์ขยับริมฝีปากบางๆพูดขึ้น

ผู้ช่วยเหมันตร์เบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ “คุณมายมิ้นท์ คุณมีวิธีอะไร ที่จะทำให้ประธานเปปเปอร์เชื่อฟังได้เหรอครับ?”

“เลิกกัน” มายมิ้นท์เอ่ยปากเบาๆ ค่อยๆพูดออกมาสองคำ

ผู้ช่วยเหมันตร์ตะลึงงันในทันที “วิธีนี้......ไม่เลวเลยจริงๆครับ คุณมายมิ้นท์ คุณยังคงเฉียบแหลมเหมือนเดิม แก้ปัญหาได้ตรงจุดเลยครับ”

ประธานเปปเปอร์รักคุณมายมิ้นท์ขนาดนั้น ตามตื๊อไม่เลิกราจนในที่สุดก็ทำให้คุณมายมิ้นท์หวั่นไหว ยอมตกลงคืนดีด้วยจนได้

ดังนั้นระยะนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าประธานเปปเปอร์โอ้อวดมากขนาดไหน สายตาที่มองเขา ก็ราวกับมองคนโสดอย่างนั้นแหละ

ใช่สิ คนโสด

แต่ก่อนประธานเปปเปอร์ก็ใช้สายตาเยาะเย้ยมองเขาเช่นกัน ตอนนั้นเขายังคิดว่าตนเองมโนไปเองอยู่เลย จนกระทั่งต่อมาหลังจากได้เห็นสายตาอย่างนั้นอีกหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ยืนยันได้ว่าตอนนั้นเขาไม่ได้มองผิดไป ประธานเปปเปอร์ใช้สายตาที่เยาะเย้ยมองเขา ในสายตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม เหยียดหยามที่เขาสามสิบแล้ว ยังเป็นคนโสดอยู่เลย

แน่นอนว่า ในใจของเขาต้องโมโหสุดๆอยู่แล้ว ยังไงก็เถอะเป็นคนโสดแล้วมันทำไมล่ะ?

เขาก็ไม่เหมือนประธานเปปเปอร์นะ ทำให้ภรรยาที่แสนดีคนหนึ่งต้องหลุดมือไป สุดท้ายต้องไปตามจีบด้วยความยากลำบากอีก ดังนั้นประธานเปปเปอร์มีสิทธิ์อะไรถึงมาเหยียดหยามเขาอย่างนี้

แม้ในใจจะค่อนแคะอย่างหนัก แต่ความรู้สึกบนใบหน้า ผู้ช่วยเหมันตร์กลับไม่กล้าเผยออกมาแม้แต่นิดเดียว ทำทีเหมือนตนเองไม่เข้าใจสายตาของประธานเปปเปอร์แทน

ถ้าใช่ล่ะก็ เชฟคนนั้น คงอับอายขายหน้าตายเลย ที่ทำวัตถุดิบเสียไปมากมายขนาดนี้ ช่างเป็นจุดด่างพร้อยของวงการเชฟจริงๆ

ดังนั้นของพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าคงเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเรียนทำอาหาร ถึงได้ทำออกมาอย่างนี้

เพราะปีนั้นเธอก็เป็นเหมือนกัน

งั้นของพวกนี้ใครทำออกมากันแน่ ไม่ต้องพูดก็คงรู้แล้วแหละ

หลังจากมายมิ้นท์เทของที่ไม่ใช้ในชามลงไปในถังขยะแล้ว ก็เงยหน้ามองไปทางประตูครัว ราวกับคิดจะผ่านทางประตูครัว มองไปให้เห็นชายหนุ่มที่เมามายหลับสนิทอยู่ในห้อง

ต้องเป็นเขาที่ทำแน่ๆ!

เพียงแต่เขาจะทำให้วัตถุดิบพวกนี้เสียของทำไมกัน?

เขาคงไม่ได้กำลังเรียนทำอาหารอยู่ใช่ไหม?

นึกถึงความเป็นไปได้นี้ มายมิ้นท์อดไม่ได้ที่จะเลิ่กคิ้ว แล้วก็รู้สึกว่าไม่น่าใช่

มีความเป็นไปได้ว่า เปปเปอร์แค่ฉุกคิดขึ้นมา จึงอยากลองทำอาหารดู คงไม่ได้กำลังเรียนทำอาหารจริงๆหรอก

ไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากมายมิ้นท์ล้างชามจนเกลี้ยงเกลา ก็หิ้วถุงขยะขึ้นมา จะออกไปทิ้งขยะ

แต่เพิ่งจะเปิดประตู เธอก็ต้องตกใจ

เพราะที่นอกประตู ไม่รู้ว่ามีคนๆหนึ่งอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่

คนๆนั้นนั่งอยู่บนรถเข็น บนร่างกายสวมเสื้อขนเป็ดตัวยาวสีดำ แทบจะปกปิดไปถึงข้อเท้า ห่อหุ้มทั่วทั้งร่างกายอย่างแน่นหนา บนหัวยังมีฮู้ดของเสื้อขนเป็ดด้วย แยกไม่ออกเลยว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ดูแล้วลึกลับ จู่ๆมาเห็นเข้า ถ้าไม่ตกใจสิถึงจะแปลก

ถึงยังไง จากการแต่งกายของคนๆนี้ ดูแล้วไม่ค่อยเหมือนคนดีอะไรเท่าไหร่ด้วย

มายมิ้นท์หรี่ตา วางมือไว้บนปุ่มสัญญาณแจ้งเหตุที่หลังประตู จ้องคนๆนั้นที่อยู่ด้านนอกประตู ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “สวัสดีค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว