“......” ประโยคนี้ทำให้พิศมัยพูดไม่ออก มันติดอยู่ในลำคอของเธอ
ให้ความสำคัญกับใครมากกว่า
คำตอบนี้ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง
เปปเปอร์เองก็เคยบอกว่าในใจเขานั้น แม่เลี้ยงเช่นเธอไม่อาจสู้กับมายมิ้นท์ได้
ดังนั้นจะให้เธอตอบอย่างไร?
เมื่อมองไปยังสีหน้าอันซับซ้อนของพิศมัย มายมิ้นท์ก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ดูเหมือนว่าคุณจะมีคำตอบแล้วนะคะ ดังนั้นคุณยังคิดว่าฉันไม่กล้าอยู่อีกหรือเปล่า?”
ร่างกายของพิศมัยสั่นสะท้านเล็กน้อย เธอจ้องไปที่มายมิ้นท์ด้วยความโกรธและไม่กล้าพูดอะไรออกมา
มายมิ้นท์ดีดเล็บของตนเองเบาๆ แล้วพูดว่า “เห็นแก่การที่คุณเลี้ยงดูเปปเปอร์มาจนโต ฉันจึงได้เอ่ยเตือนคุณถึงเรื่องเหล่านี้ หากจะพูดว่าเป็นการเอ่ยเตือน ที่จริงฉันควรจะเรียกว่าตักเตือนมากกว่า ตักเตือนให้คุณปฏิบัติดีกับฉันต่อจากนี้ ไม่ใช่มัวแต่คิดว่าจะจัดการฉันอย่างไรในอนาคต ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ฉันพูดมาเมื่อสักครู่นี้ ก็คือชะตากรรมในอนาคตที่คุณต้องเจอ”
“ที่จริงการที่เธอกล้าอวดดีแบบนี้เพราะได้รับความรักจากเปปเปอร์สินะ” พิศมัยกัดฟันแน่น “ถ้าเปปเปอร์ไม่รักเธอแล้ว เธอจะกล้าทำแบบนี้กับฉันเหรอ เพราะฉะนั้นนะมายมิ้นท์ ทางที่ดีเธอควรจะร้องขอความรักของเปปเปอร์ให้ได้ทั้งชีวิต ไม่อย่างนั้นไม่ใช่ว่าเธอกุมฉันไว้ในกำมือ แต่ฉันต่างหากที่จะจัดการเธอ”
“ขอบคุณที่เตือนสติฉันนะคะ” มายมิ้นท์ตอบด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่าคุณไม่ต้องกังวลไป คุณจะไม่มีวันนั้นอย่างแน่นอน ต่อให้มีวันที่เปปเปอร์ไม่รักฉันแล้วจริงๆ ฉันก็คงจะกดขี่ข่มเหงคุณเสียก่อน ไม่ให้คุณมีโอกาสจัดการฉันอย่างแน่นอน”
“เธอ......” พิศมัยสำลักอีกครั้ง ใบหน้าของเธอแดงก่ำ
เธอรู้ดี ไม่ว่าอย่างไรตนก็ไม่อาจจะโต้เถียงกับผู้หญิงคนนี้ได้ และไม่อาจเอาชนะผู้หญิงคนนี้ได้เลย
ดังนั้นถ้ายังสนทนากันต่อไป ไม่ช้าก็เร็วเธอคงจะอึดอัดใจจนตาย
พิสมัยที่สู้ไม่ได้กระทืบเท้าปึงๆ แล้วหันหลังเดินจากไป
มายมิ้นท์มองดูแผ่นหลังของเธอแล้วเผยอริมฝีปากยิ้มขึ้นพร้อมใช้มือลูบไปที่คาง
ต้องขอบอกว่าการแกล้งทำเป็นผู้หญิงที่ชอบข่มขู่คนอื่นแบบนี้ มันช่างน่าตื่นเต้นดีเหลือเกิน
ไม่น่าล่ะ คนสมัยนี้จึงค่อนข้างหยิ่งผยองกันนัก
มายมิ้นท์ส่งเสียงหึๆ ออกมา หลังจากที่ร่างของพิสมัยหายเข้าไปในลิฟต์แล้ว เธอก็หันหลังเดินกลับไปที่ห้องผู้ป่วยเช่นกัน
ท่านย่ากำลังนั่งอ่านนิตยสารอยู่ เมื่อได้ยินฝีเท้าของเธอดังขึ้นก็เอ่ยถามโดยไม่เงยหน้าว่า “ลากันเสร็จแล้วเหรอ?”
มายมิ้นท์ตอบรับว่า “ค่ะ”
ท่านย่าปิดนิตยสารลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปที่เธอด้วยใบหน้ากึ่งยิ้ม “มายมิ้นท์ คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งเธอจะรู้จักทำท่าทางน่าสงสารเพื่อที่จัดการกับใครบางคน”
หล่อนหมายถึงก่อนหน้านี้ในห้องผู้ป่วยที่มายมิ้นท์แสร้งทำเป็นดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ให้ตนจัดการกับพิศมัย
เมื่อได้ยินประโยคนี้ของท่านย่า สีหน้าของมายมิ้นท์หยุดนิ่งไปในตอนแรก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเขินอาย “ท่านย่า ท่าน......มองออกหรือคะ?”
“เรื่องชัดเจนขนาดนี้ทำไมย่าจะมองไม่ออกล่ะ ย่าไม่ใช่พวกผู้ชายที่ตรงไปตรงมาหรอกนะ ถึงอย่างไรย่าก็เป็นผู้หญิง ผู้หญิงด้วยกันจะมองไม่ออกถึงกลอุบายของผู้หญิงได้อย่างไร” ท่านย่ายิ้มขึ้นเล็กน้อย
มายมิ้นท์เล่นนิ้วของตนเองด้วยท่าทางเขินอาย “ขอโทษนะคะท่านย่าที่ใช้ท่านเป็นเครื่องมือเมื่อสักครู่”
ตอนนี้ท่านย่ารู้แล้วว่าแท้จริงเธอไม่ได้จิตใจงดงามอย่างที่ท่านย่าคิด
แล้วตอนนี้ท่านย่าจะเกลียดเธอหรือเปล่านะ?
ท่านย่ามองออกถึงความไม่สบายใจของมายมิ้นท์ จึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “อย่าคิดมากไปเลย ย่าไม่โกรธเธอหรอก ในทางตรงกันข้าม ย่าดีใจเสียด้วยซ้ำ”
มายมิ้นท์ชะงักลงด้วยความตกตะลึง ก่อนจะหันไปมองทางท่านย่าด้วยดวงตาอันแปลกประหลาดใจ “ดีใจเหรอคะ?”
“ใช่แล้ว” ท่านย่าตอบแล้วพยักหน้า
ในใจของมายมิ้นท์รู้สึกสับสนขึ้นกว่าเดิม เธอมานั่งลงข้างเตียงแล้วถามว่า “เพราะอะไรคะ?”
“เพราะชื่นชม”
“ชื่นชมเหรอคะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ” ท่านย่าเอื้อมมือมาจับมือเธอแล้วลูบไปเบาๆ “ผ่านไปหกปีแล้ว หกปีที่ผ่านมาเรื่องที่เธอถูกพิศมัยทำร้ายกดขี่ข่มเหงทำให้ย่าโมโหมาโดยตลอดเพราะเธอไม่แย้งกลับ บางครั้งย่าอยากจะจัดการแทนเธอแต่กลับถูกปฏิเสธ ย่าเองก็ช่วยอะไรไม่ได้”
มายมิ้นท์ดึงมือของเขาออก “ไม่ต้องลูบแล้วค่ะ ฉันถูกคุณลูบหัวเสียจนเตี้ยหมดแล้ว อ้อจริงสิ ทำไมถึงกลับมาช้าขนาดนี้ล่ะคะ?”
เปปเปอร์จูงมือเธอเดินตรงไปที่โต๊ะในห้องผู้ป่วย “พอดีระหว่างทางผมมีประชุมทางวิดีโอ ก็เลยเสียเวลาไปหน่อยน่ะครับ”
“อ๋อ แบบนี้เองเหรอคะ” มายมิ้นท์พยักหน้าและไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก
ทั้งสองคนนั่งลงที่โต๊ะอาหารแล้วลงมือแกะอาหารใส่จาน
หญิงชราที่นอนอยู่บนเตียงมองเห็นทั้งสองคนเข้ากันได้ดีและอบอุ่นเป็นกันเอง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวย่นของเธอ
ช่างดีเหลือเกิน ดูเหมือนเธอจะคิดมากไปเองคนเดียว
เธอเป็นกังวลว่าต่อให้ทั้งสองคนจะกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง แต่เนื่องจากเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาจะทำให้ทั้งสองคนไม่อาจเข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติ
แต่ตอนนี้เธอเห็นแล้วว่ามันไม่จริง ทั้งสองคนเข้ากันได้ดีมาก
“ท่านย่าคะ ทานข้าวค่ะ” ในขณะที่ท่านย่ากำลังคิดไปต่างๆ นานา มายมิ้นท์ก็เดินถืออาหารมาที่ข้างเตียงผู้ป่วยตั้งใจจะป้อนอาหารท่านย่า
เมื่อท่านย่าเห็นดังนั้นและเข้าใจว่าเธอจะทำสิ่งใดจึงโบกไม้โบกมือพูดว่า “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ย่าไม่ได้พิกลพิการสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องให้คนมาป้อนอาหารหรอกนะ อยากกินเองได้ เอาล่ะมายมิ้นท์รีบกินข้าวเถอะ เปปเปอร์ พาน้องไปกินข้าว”
เมื่อได้ยินท่านย่ากำชับดังนั้นเปปเปอร์ก็ตอบรับแล้ววางตะเกียบซึ่งกำลังคีบอาหารใส่ถ้วยอยู่ ก่อนจะเดินตรงมาที่เตียง
เมื่อสักครู่ตอนที่กำลังจัดเตรียมอาหาร มายมิ้นท์บอกว่าจะไปป้อนข้าวท่านย่า เขาโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่ฟัง บอกให้เขากินข้าวก่อน
จะทำอย่างไรได้ล่ะ ดังนั้นเปปเปอร์จึงได้คีบอาหารใส่จานของเธอไว้มากมาย ตั้งใจว่าตอนที่เธอป้อนอาหารท่านย่า เขาก็จะป้อนเธออยู่ข้างๆ
แต่ว่าเขายังไม่ทันได้ทำเช่นนั้น ท่านย่าก็เรียกให้เขาไปพาตัวมายมิ้นท์กลับมา
ที่จริงแล้วเขาก็คิดว่าเรื่องกินข้าวกินปลาควรจะให้ท่านย่าทำเองดีกว่า
เพราะหากว่าให้ท่านย่าทานเอง จึงจะทำให้ท่านย่าไม่รู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วและไร้ประโยชน์
ผู้หญิงที่เข้มแข็งมาโดยตลอดเช่นท่านย่าจะยอมรับได้อย่างไรว่าตนไม่มีความสามารถแม้แต่จะจัดการเรื่องส่วนตัวของตัวเองได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...