คำพูดนี้ มายมิ้นท์ไม่ได้รู้สึกสงสัยเลย
อย่าว่าแต่บริษัทตระกูลนวบดินทร์เลย แม้แต่เทนเดอร์กรุ๊ปก็ยังมีปลาเน่าอยู่ไม่น้อยเลย
สำหรับการต่อกรกับปลาเน่าพวกนี้ วิธีการจัดการแบบปกติของตำรวจนั้นไม่มีประโยชน์ วิธีการจัดการของตำรวจนั้นอ่อนโยนเกินไป ชอบพูดถึงสิทธิมนุษยชน ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ลงโทษทางร่างกาย สำหรับคนที่ปากแข็งมาก ๆ และสภาพจิตใจแข็งแกร่งนั้น อย่างวิธีการใช้แสงไฟแรงสูงส่องนั้นก็ไม่แน่ว่าจะได้ผล เพราะฉะนั้นก็ไม่แน่ว่าจะสามารถล้วงข่าวกรองอะไรได้จากปากพวกปลาเน่านี่ ในทางกลับกันถ้าพ้นกำหนดระยะเวลาลงโทษของตำรวจไปแล้ว พวกปลาเน่าพวกนี้ก็จะสามารถหลบหนีไปได้ แล้วต่อไปก็จะหาตัวไม่เจออีกแล้ว
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหน ก็จะเลี้ยงดูคนที่ฝีมือโหดเหี้ยมพวกนี้ไว้เพื่อให้มาเป็นผู้สอบสวน คอยรับผิดชอบสอบสวนพวกปลาเน่าพวกนี้เลย
ในเมื่อตำรวจทำไม่ได้ แต่ว่าพวกเขาสามารถทำส่วนตัวได้
ที่ผ่านมาเทนเดอร์กรุ๊ปก็มีผู้สอบสวนแบบนี้เหมือนกัน แต่พอคุณพ่อเสียชีวิตไป เทนเดอร์กรุ๊ปก็ถดถอยไป ผู้สอบสวนแบบนี้ก็ไม่มีแล้ว
ดังนั้น พอเปปเปอร์พูดว่าเรียนรู้วิธีง้างปากคนออกมาไม่กี่ท่านั้น เธอจึงไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลย
ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ปกติสุดเรื่องหนึ่งแล้ว ไม่งั้นจะทนดูพวกปลาเน่าพวกนั้นทำลายบริษัทตัวเองต่อไปเฉย ๆ งั้นเหรอ?
“เขาจะตอบมาอย่างตรงไปตรงมาจริง ๆ เหรอคะ?” พอมองเห็นชายหนุ่มที่เจ็บปวดอย่างสุดทน อย่างกับว่าจะสามารถตายไปได้ทุกเมื่อ มายมิ้นท์ก็ขมวดคิ้วถามขึ้นมา
สายตาเย็นชาของเปปเปอร์มองไปที่ตัวชายหนุ่ม “แน่นอน บอดี้การ์ดที่รับผิดชอบสอบสวนพวกสายลับคนนั้นของผม เป็นทหารหน่วยพิเศษที่เพิ่งปลดประจำการมา ตอนอยู่ในองค์กรก็ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะเลย เข้าใจร่างกายมนุษย์เป็นอย่างมาก สามารถพูดได้ว่าไม่เป็นรองการันต์เลย เขารู้ว่ากดตำแหน่งไหนในร่างกายมนุษย์ จะสามารถทำให้ความเจ็บปวดในร่างกายมนุษย์ขยายใหญ่ได้ที่สุด ด้วยเหตุนี้ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีสายลับคนไหนที่ไม่ยอมอ้าปากเมื่ออยู่กับเขาเลย เพราะฉะนั้นคุณสามารถเริ่มถามได้แล้ว”
พอเห็นชายหนุ่มมั่นใจขนาดนี้ แน่นอนว่ามายมิ้นท์ก็เชื่อใจเขาอย่างไม่ลังเลสักนิด พอพยักหน้าไปเล็กน้อยแล้ว ก็เดินหน้าไปก้าวหนึ่ง แล้วเปิดปากพูดขึ้นเสียงเย็น “พูดมา ใครใช้ให้นายมาปรากฏตัวตรงหน้าฉัน แล้วขโมยของฉันไป?”
ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเจ็บปวดจนวิญญาณใกล้จะหลุดออกจากร่างแล้ว ตัวทั้งตัวได้แตกสลายไปแล้ว อย่างกับไม่ใช่ของตัวเองยังไงอย่างงั้น เจ็บปวดจนน้ำมูกน้ำตาเปรอะเปื้อนไปเต็มหน้า แม้แต่ในดวงตาก็เต็มไปด้วยเส้นเลือด ราวกับว่าจะถลนออกมาแล้ว ดูน่ากลัวมาก
มายมิ้นท์ขมวดหัวคิ้วขึ้นอย่างรังเกียจ “รีบพูดมา ถ้านายไม่พูด นายก็จะต้องเจ็บปวดต่อไป”
พอคำพูดนี้ออกมา เปปเปอร์ก็รีบให้ความร่วมมือกับเธอ แล้วออกแรงที่มือขึ้นมาอีกครั้ง
ชายหนุ่มร้องโหยหวนขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งตัวสั่นเทารุนแรงขึ้นไปอีก ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเสียงสะอื้น “ผมบอกแล้ว……ผมบอกแล้ว……พวกคุณได้โปรด ปล่อยผมไปเถอะ เจ็บเกินไปแล้ว เจ็บปวดเกินไปแล้วจริง ๆ……”
ชายหนุ่มร้องไห้ขึ้นมาอย่างหมดหวัง
เขาคิดว่ายังไงตัวเองก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง เคยโดนจับเข้ามาหลายครั้ง วิธีการต่าง ๆ ของตำรวจนั้น เขาก็ไม่เคยกลัวมาก่อนเลย
และด้วยเหตุนี้ เขาก็ยังภูมิใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งมาก แม้แต่ตำรวจก็ยังไม่มีวิธีจัดการกับตัวเอง
เพราะฉะนั้นพอเผชิญหน้ากับแสงไฟแรงสูง นอกจากเขาจะไม่คุ้นชินแล้ว ก็มีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าตัวเองจะไม่มีทางหลุดออกไปแม้แต่ครึ่งตัวอักษรแน่
เพราะว่าจุดอ่อนของตัวเอง ยังโดนคนคนนั้นกำไว้มืออยู่ ถ้าเกิดว่าสารภาพเรื่องของคนคนนั้นออกไป จุดอ่อนของตัวเองก็จะต้องยุ่งยากแล้ว
แต่ว่าตอนนี้ ผู้ชายคนนี้ที่ดูไปแล้วก็ไม่ใช่คนธรรมดา ๆ นี้ กลับมีวิธีการที่โหดและรุนแรงกว่าตำรวจเยอะมาก
แค่ลงมือ ก็ทำลายความโอหังในตอนแรกของเขาไป ทำให้รู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะอยากตายไปซะตั้งแต่ตอนนี้เลย
ขอแค่ตายไปแล้ว ตัวเองก็จะไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว
แต่ว่า เขากลับโดนเก้าอี้นักโทษควบคุมตัวไว้ อย่าพูดถึงขัดขืนเลย แม้แต่ฆ่าตัวตายก็ยังทำไม่ได้เลย ได้แต่ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นทรมานตัวเองไป
โอ้ยเจ็บ เจ็บมากจริง ๆ
ชีวิตนี้ ยังไม่เคยผ่านเวลาที่เจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนเลย ความเจ็บปวดแบบนี้ ทำให้เขาไม่มีเวลาไปสนใจจุดอ่อนของตัวเองแล้ว สิ่งที่เขาอยากทำที่สุดในตอนนี้ ก็คือช่วยตัวเองเท่านั้น
จุดอ่อนนั้นสำคัญ แต่ก็สำคัญสู้ตัวเองไม่ได้หรอก
คิดว่ามิลลี่จะต้องเข้าใจเขาแน่ ๆ
ชายหนุ่มล้างสมองตัวเองไปอย่างนี้ในใจ
ช่างโง่เขลาจริง ๆ
ไม่ดูตัวเองซะบ้างว่ามีค่าพอหรือเปล่า
“ไม่ใช่ครับ” ชายหนุ่มร้องโหยหวนขึ้นมาคำหนึ่ง น้ำเสียงสั่นเทาขึ้นมาเยอะมาก “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ผมก็แค่ไม่พอใจที่ตัวเองโดนหลอกมา คนคนนั้นหลอกผมว่า ผมแค่ไปขโมยของของคนธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้บอกผมว่า ของที่ผมขโมยมานั้นเป็นของประธานเปปเปอร์ ถ้าผมรู้ ผมจะไม่มีทางยอมรับปากแน่ เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมต้องมามีจุดจบอย่างนี้ ก็เพราะว่าคนคนนั้นเป็นคนทำทั้งนั้น ดังนั้นผมแค่หวังว่าพวกคุณจะไม่ปล่อยคนคนนั้นไป ไม่ได้จะข่มขู่พวกคุณครับ สิ่งที่พวกคุณอยากรู้ ผมก็ยังจะบอกอยู่ จริง ๆ นะครับ!”
เพราะกลัวว่ามายมิ้นท์และเปปเปอร์จะไม่เชื่อ ท่าทีของชายหนุ่มจึงร้อนรนเป็นอย่างมาก
เขาไม่ได้โง่ และรู้ว่าประธานใหญ่แห่งบริษัทตระกูลนวบดินทร์เป็นคนยังไง นั่นต้องไม่ใช่สิ่งที่เขาที่เป็นบุคคลตัวเล็ก ๆ ชั้นต่ำแบบนี้จะไปยั่วยุได้แน่
แต่ว่าครั้งนี้ เขากลับไปเหยียบตะปูเข้าตรง ๆ เขารู้ว่าครั้งนี้ตัวเองแหย่โดนประธานเปปเปอร์เข้าแล้ว จะต้องมีจุดจบที่อนาถมากแน่ และไม่มีทางที่จะไปแก้แค้นด้วยตัวเองแล้ว
เพราะฉะนั้น เขาจึงได้แต่ฝากความหวังไว้กับคนสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้ คนสองคนนี้ น่าจะเป็นคนสนิทของประธานเปปเปอร์ ขอแค่พวกเขาเอาข้อมูลของคนคนนี้ส่งไปให้ประธานเปปเปอร์ ประธานเปปเปอร์ก็จะไม่มีทางปล่อยคนคนนั้นไปแน่นอน
ขอแค่คนคนนั้นล้มลง เขาก็ถือได้ว่าได้แก้แค้นแล้ว
พอเห็นท่าทางที่ตื่นเต้นของชายหนุ่ม เปปเปอร์ก็เข้าใจแล้วว่าคนคนนี้คิดแผนอะไรอยู่ กะว่าจะยืมมือเขา ไปแก้แค้นให้ตัวเองซินะ
เหอะ ดูท่าก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นนี่ ยังพอมีสมองอยู่บ้าง
“เรื่องแบบนี้ไม่ต้องให้นายมาพูด แล้วคนคนนั้นก็ไม่มีทางมีจุดจบที่ดีแน่” เปปเปอร์พูดขึ้นมาด้วยใบหน้าไร้ปฏิกิริยา ย้ำเสียงเย็นชา
เพราะว่าตั้งแต่แรก เขาก็ไม่เคยคิดที่จะปล่อยคนที่อยู่เบื้องหลังนี้ไปเลย
พอได้ยินคำพูดของเปปเปอร์ ชายหนุ่มก็ดีใจขึ้นมาทันที “แบบนั้นก็ดี แบบนั้นก็ดีแล้ว”
“เอาล่ะ ในเมื่อนายอยากได้ผลอย่างที่นายหวังแล้ว งั้นตอนนายจะบอกมาได้หรือยัง?” มายมิ้นท์เม้มปากขึ้น รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...