ผู้ชายคนนี้ ช่างมีฝีมือในการหว่านเสน่ห์ใส่คนจริง ๆ ด้วย!
“ทำไมต้องทำตัวลำบากด้วย?” เปปเปอร์ไม่รู้ว่ามายมิ้นท์กำลังคิดอะไรอยู่ พอเห็นเธอหน้าแดงระเรื่อ ดวงตาก็มืดมนลง และมีความรู้สึกอดไม่ได้อยากจะกัดสักคำ
มายมิ้นท์ยังคงถลึงตาใส่เขา “แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ? ฉันอายุขนาดนี้แล้ว คุณยังมาเรียกฉันแบบนี้อีก แล้วจะไม่ให้ทำตัวลำบากได้ยังไงละคะ?”
ถ้าเกิดว่าเธอเป็นเด็กคนหนึ่ง หรือว่าอายุเพิ่งยี่สิบต้น ๆ
แล้วเขามาเรียกเธอแบบนี้ เธอก็คงจะยอมรับได้ยากกว่านี้หน่อยละมั้ง
ถึงแม้ว่าตอนนี้ เธอได้ยินแล้วในใจก็ยังดีใจ และรู้สึกหวานหอมมาก แต่ว่ายังไงก็ยังมีความรู้สึกอึดอัดจนเอาอยากนิ้วเท้าจิกพื้นอยู่ดี
เปปเปอร์หัวเราะขึ้นเบา ๆ “นี่มันจะมีอะไรให้ทำตัวลำบากกัน? แล้วอีกอย่าง อายุอย่างคุณนี่อายุมากแล้วเหรอ? ถ้าคุณอายุมากแล้ว งั้นผมจะคืออะไรล่ะ? สรุปก็คือ อย่าคิดมาก ที่ผมเรียกคุณแบบนี้ ก็เพราะว่าผมอยากเรียกคุณแบบนี้ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ ถึงแม้ผมจะหงอกไปทั้งหัว แต่คุณมาอยู่กับผม ก็ยังเป็นที่รักของผมอยู่ดี”
ในขณะที่พูด เขาก็รวบตัวเธอมากอดไว้ในอกเบา ๆ “คำว่าที่รักนี้ ไม่ได้เรียกตามอายุเท่าไหร่ แต่ว่าเรียกตามระดับความสำคัญ ในใจผมให้ความสำคัญกับคุณ รักคุณ ดังนั้นคุณก็จะเป็นที่รักของผมตลอดไป”
คำหวานชุดนี้ พูดจนทำให้มายมิ้นท์หน้าแดงมากยิ่งขึ้น ใจก็ยิ่งเต้นเร็วมากยิ่งขึ้นไปอีก
ถ้าจะบอกว่าไม่ซาบซึ้ง ไม่มีผลนั้น ล้วนเป็นการหลอกลวง
ไม่มีผู้หญิงคนไหน ที่จะไม่อยากกลายเป็นที่รักหรอก
แล้วมีคนอยากให้เธอเป็นที่รัก แน่นอนว่าเธอก็จะต้องแอบมีความสุขอยู่แล้ว
มายมิ้นท์ยกมือขึ้นมา แล้วสวมกอดเปปเปอร์กลับไป และค่อย ๆ หรี่ตาลงแล้วยิ้มขึ้นมา “คุณนี่รู้จักแต่พูดเอาอกเอาใจฉันแบบนี้ ฉันกลัวว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานฉันต้องโดนคุณเอาใจจนแยกทิศทางไม่ออกแน่”
“งั้นก็ไม่ต้องแยกซิ” เปปเปอร์ลูบผมที่อ่อนนุ่มบนหลังของเธอไป “เพราะว่าผมจะจูงมือคุณไว้ตลอด คุณไม่มีทางหลงทางแน่”
“งั้นคุณพูดแล้วก็ต้องทำให้ได้นะคะ” มายมิ้นท์เงยหน้าขึ้นไปมองเขา
เปปเปอร์พยักหน้าขึ้นเล็กน้อย “แน่นอนอยู่แล้ว”
มายมิ้นท์ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับกอดรัดเอวที่แข็งแกร่งของเขาให้แน่นขึ้น
เปปเปอร์ลูบผมของเธอไป แล้วก็ยังคอยจูบหัวของเธอไปด้วย “อ๋อ ใช่แล้ว ทำไมคุณนายราศรีจะต้องเรียกพวกเราไปกินข้าวด้วยล่ะ?”
ถ้าเรียกเธอคนเดียว เขาก็สามารถเข้าใจได้
แต่ว่าเรียกเขาไปด้วยนี่ซิ เขาไม่ค่อยเข้าใจเลยจริง ๆ
มายมิ้นท์หลับตาลงเบา ๆ แล้วพิงอยู่ในอกเปปเปอร์ “คุณป้าเป็นเพื่อนสนิทของแม่ฉัน แล้วก็ดีกับฉันมาก ดีเท่า ๆ กับที่แม่ฉันดีกับฉันเลย ดังนั้นถึงฉันจะเรียกท่านว่าคุณป้า แต่ท่านก็เกือบจะเป็นแม่ฉันแล้ว ดังนั้นพอตอนนี้ท่านรู้ว่าพวกเราคืนดีกันแล้ว ก็เลยอยากจะพบคุณสักหน่อยค่ะ”
พอคำพูดนี้พูดออกไป ก็ไม่รู้ว่าทำไม เห็นได้ชัดเลยว่าเปปเปอร์รู้สึกว่าตัวเองเริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว
คุณนายราศรีเห็นมายมิ้นท์เป็นลูกสาว งั้นต้องการพบเขา ก็เท่ากับว่าแม่ยายต้องการพบลูกเขยนะซิ?
“จะต้องไปเจอให้ได้เลยเหรอ?” ลูกกระเดือกของเปปเปอร์ขยับขึ้นลงทีหนึ่ง แล้วก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
มายมิ้นท์รู้สึกว่าร่างกายของเขาเกรงตัวขึ้นมาเล็กน้อย ก็ลืมตาขึ้นมาแล้วออกมาจากอกเขา แล้วจ้องมองเขา “คุณไม่อยากเจอเหรอคะ?”
“ไม่ใช่” เปปเปอร์ส่ายหน้าเล็กน้อย พอผ่านไปไม่นาน ถึงได้พูดขึ้นอีกครั้งว่า “ผมไม่เคยไปพบผู้ปกครองมาก่อน ก็เลย……”
ตอนนั้นตอนที่แต่งงานกับเธอนั้น ไตรภูมิยังมีชีวิตอยู่
เพียงแต่ว่าตอนนั้น เขาโดนสะกดจิตไปแล้ว แล้วเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่า เธอใช้หนี้บุญคุณมาทำให้เขาต้องตอบตกลงแต่งงานด้วย เพราะฉะนั้นในใจก็เลยเต็มไปด้วยความรังเกียจต่อเธอ
ด้วยเหตุนี้ เขาก็เลยไม่ได้มีความรู้สึกดีต่อไตรภูมิด้วย ก่อนที่เธอจะเอ่ยว่าแต่งงานออกมานั้น เคยให้เขาไปพบไตรภูมิพร้อมกับเธอด้วย แต่เขาก็ไม่ได้ไป แล้วก็ปฏิเสธไปตรง ๆ เลย
กลับคิดไม่ถึงว่า การปฏิเสธในครั้งนั้น จะเป็นการปฏิเสธตลอดกาล
เขาไม่เคยเจอกับพ่อตาแม่ยายแบบจริงจังมาก่อน ถึงแม้ว่าจะเคยไปไหว้กับเธอมาหลายครั้งแล้ว แต่ว่าในใจ ยังไงก็ยังมีความเสียดายอยู่เสี้ยวหนึ่ง
ยิ่งความเสียดายนี้หนักหน่วงมากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งทำให้ความเกลียดที่เขามีต่อส้มเปรี้ยวมากขึ้นเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ที่เขาบอกว่าเขาไม่เคยทำความรู้จักกับพ่อตาแม่ยายมาก่อนนั้น ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง เพราะว่าการคบหากับสองสามีภรรยาเยี่ยมบุญ ดูยังไงก็ไม่เหมือนกับวิธีการคบหากันแบบพ่อตาแม่ยายกับลูกเขย
แต่ว่าตอนนี้นั้นไม่เหมือนกัน คนที่เขาจะไปเจอ เป็นคนที่มายมิ้นท์นับถือเป็นพ่อแม่ มายมิ้นท์ให้ความสำคัญกับพวกเขามาก แล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจพวกเขาด้วย งั้นก็แน่นอนว่า เขาไม่สามารถใช้ท่าทีที่ปฏิบัติกับสองสามีภรรยาเยี่ยมบุญรวมทั้งกับคนอื่นมาปฏิบัติกับพวกเขาได้ แต่ว่าต้องใช้สถานะลูกเขยคนหนึ่งไปปฏิบัติกับพวกเขา
เพียงแต่ว่าลูกเขยคนหนึ่งควรจะปฏิบัติต่อพ่อตาแม่ยายตัวเองยังไงนั้น เขาไม่เข้าใจจริง และไม่มีความคิดด้วย
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม เรียวปากบางของเปปเปอร์เม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงเลย
มายมิ้นท์มองออกแล้วว่าเขารู้สึกตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย แล้วเหมือนกับว่ามองเห็นของแปลกอะไรยังไงอย่างงั้น แล้วอ้าปากกว้างขึ้นอย่างตกตะลึง “ไม่ใช่มั้งคะเปปเปอร์ นี่คุณกำลังตื่นเต้นที่พรุ่งนี้จะไปพบคุณลุงคุณป้าอยู่เหรอคะ?”
พอถูกพูดความในใจออกมา ท่าทีของเปปเปอร์ก็เคร่งเครียดไปหมด “เปล่านี่”
เขายังปากแข็งไม่ยอมรับ
มายมิ้นท์บีบแขนเขาเล็กน้อย แล้วรู้สึกแข็งอย่างกับเหล็ก ก็รู้สึกขำขึ้นมา “พอแล้ว อย่าปากแข็งอีกเลย คุณไม่ตื่นเต้นซิถึงจะแปลก คุณดูสีหน้าของคุณซิ เคร่งขรึมไปหมดแล้ว”
เธอยื่นนิ้วมือออก แล้วหยิกแก้มของชายหนุ่มไปเบา ๆ ทีหนึ่ง
ชายหนุ่มจับมือของเธอไว้ “อย่าเล่นซิ”
“ก็ได้ ก็ได้ ฉันไม่เล่นแล้วก็ได้” มายมิ้นท์มองไปที่เข้าอย่างขำขัน แล้วปล่อยให้เขาจับนิ้วมือตัวเองต่อไป
เธอจะไม่รู้ได้ยังไงกัน เขากำลังตื่นเต้นอยู่จริง ๆ
พูดแล้วก็ทำให้คนแปลกใจจริง ๆ ผู้ชายที่ยิ่งใหญ่จนไม่เห็นใครอยู่ในสายตานั้น กลับมีวันที่ตื่นเต้นกับเขาด้วย แถมยังเป็นการตื่นเต้นหลังจากที่เธอบอกว่าจะไปพบคนที่ตัวเองนับถือเป็นพ่อแม่แล้วอีกด้วย
เห็นได้ชัดเลยว่า ท่าทางของเปปเปอร์แบบนี้ เหมือนกับผู้ชายที่จะไปเจอผู้ปกครองของฝ่ายหญิงครั้งแรกยังไงอย่างงั้น
และที่สำคัญนี่ก็ไม่ใช่พ่อแม่ที่เลี้ยงดูเธอเติบโตมานะ
ถ้าเกิดว่าเปปเปอร์ไปเจอพ่อแม่ของเธอจริง ๆ จะตื่นเต้นมากกว่านี้หรือเปล่า?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...