มายมิ้นท์เองก็ไม่ได้โกรธ เพียงแต่ว่าในใจยิ้มเย็นไปคำหนึ่ง “นายใหญ่เกรียงไกรนี่ใจกว้างจริง ๆ นะคะ งั้นก็ได้ค่ะ งั้นนายใหญ่เกรียงไกรก็เอาโสรณากรุ๊ปยกให้ฉันเลย ได้ไหมคะ?”
เธอยิ้มแฉ่งมองแล้วไปที่เกรียงไกร
สีหน้าของเกรียงไกรนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง “คุณว่าอะไรนะครับ? โสรณากรุ๊ปเหรอ?”
“ใช่ค่ะ” มายมิ้นท์พยักหน้าไปแบบรอยยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง
มุมปากของเกรียงไกรกระตุกขึ้นทีหนึ่ง สีหน้าดูเหลือเชื่อ
เห็นได้ชัดว่า เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสิ่งที่เธอเปิดปากขอมา ก็จะเป็นตระกูลคหบวรทั้งตระกูล
พอเห็นเกรียงไกรไม่พูดอะไร ดวงตาของมายมิ้นท์ก็เป็นประกายวิบวับขึ้นมา จากนั้นก็ตั้งใจถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “นายใหญ่เกรียงไกร ได้ไหมคะ?”
แน่นอนว่าไม่ได้อยู่แล้ว!
นั่นมันคือโสรณากรุ๊ปนะ รากฐานของตระกูลคหบวรทั้งตระกูลเลยนะ!
เกรียงไกรก่นด่าอย่างโกรธเคืองอยู่ในใจ บนใบหน้าแทบจะรักษาอาการไว้ไม่อยู่แล้ว
ผู้ช่วยทัตที่อยู่ด้านหลังเขายังไงก็ยังอายุน้อยเกินไป ดังนั้นก็เลยอดทนไว้ไม่ไหว จึงก้าวออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วชี้ไปที่มายมิ้นท์แล้วดุด่าขึ้นมา “ผู้หญิงอย่างคุณนี่ไร้ยางอายเกินไปแล้วนะ ถึงได้อยากได้โสรณากรุ๊ป คุณนี่ไม่ดูตัวเองเลยว่ามีปัญาแบบนั้นหรือเปล่า!”
เรียวปากแดงของมายมิ้นท์คลี่ยิ้มขึ้นมา “ฉันมีปัญญาหรือไม่มีปัญญานั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ พวกคุณจะยอมยกโสรณากรุ๊ปให้หรือเปล่า นายใหญ่เกรียงไกร นี่เป็นสิ่งที่คุณพูดมาเองนะ ว่าอยากได้อะไรก็ได้ สิ่งที่ฉันอยากได้คือโสรณากรุ๊ป คุณจะยอมยกให้ไหม?”
เธอมองไปที่เกรียงไกร
เกรียงไกรสบตาเข้ากับเธอ พอผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว ก็เปิดปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ในที่สุดผมก็เข้าใจแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบ คุณมายมิ้นท์ไม่เคยคิดที่จะปล่อยลูกสาวผมเลย ดังนั้นจึงตั้งใจพูดออกมาว่าต้องการโสรณากรุ๊ปของผม เพราะว่าคุณรู้ดี ว่าผมไม่มีทางเอาโสรณากรุ๊ปมาแลกกับลูกสาวแน่”
พอเห็นว่าแผนการของตัวเองถูกเปิดเผยแล้ว มายมิ้นท์ก็ไม่ได้แปลกใจ เพียงแต่แค่หัวเราะเล็กน้อย
ในเมื่อเธอแสดงออกได้ชัดเจนซะขนาดนี้ ไม่มีใครมองไม่ออกหรอก
คงจะไม่มีทาง ที่เขาจะยกโสรณากรุ๊ปให้เธอเพื่อแลกกับพัดชาหรอกนะ?
ถ้าเกิดว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เธอถึงแปลกใจต่างหาก
เมื่อเทียบกับคนคนหนึ่งแล้ว แน่นอนว่ารากฐานของตระกูลนั้นสำคัญที่สุด ขอแค่ไม่ใช่คนโง่ ก็ต้องรู้กันทั้งนั้นว่าควรจะเลือกยังไง
เพราะฉะนั้น ที่เธอตั้งใจพูดว่าตัวเองต้องการโสรณากรุ๊ปนั้น ก็คือการเปลี่ยนวิธีการพูดกับเกรียงไกรอย่างหนึ่ง ว่าเธอไม่เคยคิดที่จะปล่อยตัวพัดชาไปเลย
พอเห็นมายมิ้นท์หัวเราะขึ้นมา สีหน้าของเกรียงไกรก็ยิ่งมืดมนมากยิ่งขึ้น มือที่จับหัวมังกรของไม้เท้าไว้ ก็ยิ่งจับมากแน่นขึ้นไปอีก
ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าเขาอายุปูนนี้แล้ว กลับต้องมาโดนยัยเด็กสาวจอมหลอกลวงปั่นหัวไปรอบหนึ่ง
ทีแรกเขายังนึกว่า ข้อเสนอที่ตัวเองเอ่ยออกมา ยัยเด็กจอมหลอกลวงนี้จะต้องไม่มีทางปฏิเสธแน่
เพราะว่าตอนนี้เทนเดอร์กรุ๊ปเป็นยังไงนั้น แค่ค้นในอินเทอร์เน็ตหน่อยหนึ่งก็รู้แล้ว แล้วเขาเสนอผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ออกมาให้ เธอสามารถพึ่งพิงเขามาทำให้เทนเดอร์กรุ๊ปพัฒนาให้เติบใหญ่ขึ้นได้เลย
จนไม่จำเป็นที่จะต้องมาเป็นอย่างในตอนนี้ อย่างในตอนนี้ที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ อยู่
เธอเป็นแฟนของเปปเปอร์ ถ้าเกิดว่าเปปเปอร์ฉุดดึงเธอสักหน่อย เทนเดอร์กรุ๊ปก็ไม่ต้องมามีสภาพอย่างในตอนนี้ คงจะเข้าสู่ตลาดหุ้นใหม่อีกครั้ง แล้วก็เจริญรุ่งเรืองไปแล้ว
แต่ว่าเปปเปอร์ไม่ได้ฉุดดึงเธอ เห็นได้ชัดเลยว่าเปปเปอร์ก็ไม่ได้รักเธอจะเป็นจะตายสักหน่อย ไม่งั้นก็คงจะไม่ต้องถึงขนาดไม่ยอมฉุดเธอเลยสักนิด
ดังนั้น ถ้าเธอจะพัฒนาเทนเดอร์กรุ๊ป ก็ยิ่งต้องรีบคว้าโอกาสไว้ให้แน่นซิ และคราวนี้เขาก็ได้ทุ่มออกไปแล้ว แต่เธอกลับปฏิเสธออกมา!
เพื่อที่จะเอาคืนสักครั้ง ถึงกับปฏิเสธเลยเหรอ!
นี่ถึงกับทำให้เกรียงไกรไม่รู้ว่า ตกลงมายมิ้นท์นี่โง่ธรรมดาหรือว่าโง่มากแน่
ส่วนเขา เป็นนายใหญ่แห่งตระกูลคหบวรทั้งคน เป็นนายใหญ่แห่งตระกูลคหบวรที่ทำเรื่องอะไรก็ไม่มีความผิดพลาด แต่กลับถูกผู้หญิงโง่เง่าแบบนี้ปั่นหัวไปรอบหนึ่ง
มันก็คือการปั่นหัวไม่ใช่เหรอ?
เรื่องที่เขามีความมั่นใจมาตลอด กลับเป็นเรื่องหลอกลวงที่คนอื่นตั้งใจเปิดเผยออกมาทำให้เขาลุ่มหลง แล้วเรื่องนี้จะไม่ทำให้เขาโกรธได้ยังไงกัน
“คุณมายมิ้นท์ ที่คุณทำแบบนี้ ไม่กลัวผมจะไม่พอใจเหรอ?” ในที่สุดเกรียงไกรก็ลบรอยยิ้มจอมปลอมที่มีตลอดไป แล้วจ้องมองมายมิ้นท์ไปด้วยใบหน้าที่ไร้ปฏิกิริยา ราวกับงูพิษ ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกหวาดกลัว
มายมิ้นท์รู้ว่า เขาหมายถึงเรื่องที่ตัวเองปฏิเสธที่จะปล่อยตัวพัดชา แล้วก็หมายถึงการกระทำที่ตัวเองปั่นหัวเขาด้วย
ผู้ช่วยทัตตามอยู่ข้างหลังเขา แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว อยู่ ๆ ก็หันหน้ามามองมายมิ้นท์ด้วยสายตามืดมนทีหนึ่ง แล้วถึงจะหันหน้ากลับไปอีกครั้ง
ผ่านไปไม่นาน เงาร่างของทั้งสองคนก็หายวับไป
แล้วมายมิ้นท์ถึงได้โล่งอกไปได้เปลาะหนึ่ง ร่างกายที่เคร่งเครียดมาตลอด ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงมา
ผลของพอผ่อนคลายลงมาก็คือขาทั้งคู่อ่อนแรงไป ร่างกายโอนเอียงไปมา จนเกือบจะหกล้มไปเลย
ยังดีที่ว่าเธอสามารถคว้าของที่สามารถจับได้จากด้านข้างได้ทัน ไม่งั้นถ้ายืนไม่มั่นคงก็จะล้มก้นจ้ำเบ้าไปบนพื้นแล้ว
ถึงแม้ว่ามายมิ้นท์จะไม่ได้ล้มก้นจ้ำเบ้าไปบนอย่างน่าอนาถ แต่ตอนนี้แผ่นหลังทั้งหลังของเธอก็เปียกไปหมดแล้ว เพราะว่าถูกเหงื่อซึมออกมำให้เปียกไป บวกกับสภาพอากาศที่เหน็บหนาว และตอนนี้เสื้อผ้าก็แนบติดกับแผ่นหลัง จึงทำให้ตัวเธอทั้งตัวเย็นเฉียบเลย
นี่ล้วนเป็นแรงกดดันทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนที่เธอเผชิญหน้ากับเกรียงไกร
ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเจอคนที่ให้แรงกดดันกับเธอมาก่อน ในทางกลับกันกลับเคยเจอมาไม่น้อย
แต่แรงกดดันพวกนั้น กับแรงกดดันที่เธอต้องแบกรับเมื่อกี้ มันช่างไม่เทียบกันไม่ติดเลย
เพราะว่าแรงกดดันที่พวกเขาให้เธอมา มีแต่ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว และทำให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตรายทุกวินาที
แต่แรงกดดันของเกรียงไกรนั้น กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกงูพิษตัวหนึ่งจดจ้องอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญยังจะโดนกัดได้ทุกเมื่อด้วย
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่า เมื่อกี้เธอใช้เรี่ยวแรงไปเท่าไหร่ ถึงได้สามารถอดกลั้นความหวาดกลัวและแรงกดดันที่เกิดจากเกรียงไกรได้ แล้วไม่ทำให้ตัวเองเสียสติไป
แต่ยังดีที่ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว
คิดไปแล้ว มายมิ้นท์ก็นวดขมับเล็กน้อย แล้วก็เอามือยื่นไปแตะแผ่นหลังเล็กน้อย
ดูท่าจะไปเทนเดอร์กรุ๊ปไม่ได้แล้ว กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า แล้วก็บอกเรื่องที่เกรียงไกรมาหาให้เปปเปอร์รู้สักหน่อย
มายมิ้นท์หมุนตัวไป แล้วเดินเข้าไปในคอนโดด้วย และเอาโทรศัพท์ออกมาโทรหาเบอร์เปปเปอร์ไปด้วย
ผ่านไปไม่นานเปปเปอร์ก็รับสายแล้ว เรียวปากคลี่ยิ้มขึ้น แล้วกำลังจะเปิดปากพูดก่อน แต่กลับโดนมายมิ้นท์แย่งพูดขึ้นมาว่า “เปปเปอร์ ฉันมีเรื่องจะบอกกับคุณค่ะ เรื่องสำคัญมากด้วย!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักหวานอมเปรี้ยว
โดนสาดกรดก็รีบล้างออกสิ กว่าจะขับรถไปถึงก็กัดกร่อนไปถึงกระดูกแล้ว วางเรื่องมาให้พระนางฉลาดมาก แต่ดันไม่รู้ว่าต้องล้างด่วน...
ก็แค่บอกอีธานว่านังส้มเน่าอาจจะเป็นคนวางแผนฆ่าแฟนเก่า แล้วให้อีธานสะกดติตมันให้สารภาพ ก็จบแล้ว จะง่าวอะไรขนาดนั้น...