หลักฐานคดีความของหลิวเกาหยาง ถูกดำเนินการจนเสร็จสรรพภายในบ่ายวันนั้น รวมไปถึงลูกน้องสองคนของเขาด้วย
ในร้านอาหาร
รอบนี้อันฉีรอดไปได้อย่างหงุดหงิด แต่ก็กระทบต่อจิตใจเธอไม่น้อย เนี่ยเหยียนเฟิงคีบอาหารให้เธอไปด้วย และพูดกับเธอไปด้วย “ผมจะพาคุณไปรู้จักใครบางคน เป็นเพื่อนรักและภรรยาของเขา”
อันฉียกยิ้ม “ได้สิ! ฉันก็รอจะเจอเพื่อนคุณเหมือนกัน”
เนี่ยเหยียนเฟิงยกเรื่องที่มาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของพวกเขาทั้งสามมาเล่าให้เธอฟังระหว่างกินอาหารกันอยู่ อันฉีฟังจนรู้สึกไม่อยากกินข้าว เธอจึงเอามือเท้าคางนั่งฟังเขาเล่าเพลินๆ
“ว้าว! ที่แท้พวกคุณก็มีความสัมพันธ์แบบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาด้วยกันนี่เอง แถมแต่ละคนยังยอดเยี่ยมกันทั้งนั้น” อันฉีรู้จักสีจิ่วเฉินดี เพราะเขาเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากในโลกธุรกิจ
“ผมจะนัดกับพวกเขาอีกที อาเพ่ยก็น่าจะกลับจีนแล้วล่ะ” เนี่ยเหยียนเฟิงเองก็รอคอยที่จะได้นัดรวมกลุ่มกับเพื่อนรักของเขาเหมือนกัน
ตอนค่ำอันฉีได้เล่าเรื่องของหลิวเกาหยางให้แม่ของเธอฟัง หลี่เซี่ยนจึงรีบขอดูหลักฐานจากทางตำรวจทันที เธออยากจะให้ไอ่เลวคนนี้ติดคุกไปตลอดชีวิต
อันจงหยางเองก็โทรศัพท์หาทางตำรวจให้พวกเขาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดด้วยเหมือนกัน
วันหยุดสุดสัปดาห์
บ้านตระกูลฮั่ว
ซูเล่อได้รับโทรศัพท์จากแผนกการแปลให้เธอไปรายงานตัวในวันจันทร์
ชั่วพริบตาเดียว วันจันทร์ก็มาถึง
ในเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ซูเล่อสวมชุดทำงานสุภาพ แต่งหน้าเบาๆ และให้คนขับรถของฮั่วจยาไปส่งเธอที่ทำงาน ที่นี่ไม่ใช่ตึกสูงระฟ้าแต่อย่างใด เป็นเพียงตึกสามชั้นที่มีการดูแลหนาแน่น ถึงแม้ด้านนอกจะดูธรรมดา แต่ด้านในกลับมีความลับระดับสูงที่ถูกรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี
ผู้ที่ทำงานที่นี่คงหนีไม่พ้นความรู้สึกที่กำลังแบกภารกิจอันหนักอึ้งอยู่ ราวกับต้องทิ้งความรู้สึกของตัวเองไปชั่วขณะ และอุทิศตัวให้กับภารกิจที่สูงส่งนี้แทน
ซูเล่อลงจากรถมองดูไปยังรอบๆ เธอสูดหายใจเข้ลึกๆ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน เมื่อทำการตรวจสอบและลงชื่อแล้ว ในที่สุดเธอก็สามารถเข้าไปยังประตูแผนกการแปลได้สำเร็จ
นี่เป็นสงครามเงียบที่เต็มไปด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดเพื่อแย่งโอกาสสุดท้ายในการทำงานที่แผนกการแปลแห่งนี้
จากนั้นก็มีชายหญิงอีกคู่เพิ่มมา ผู้ชายค่อนข้างเจ้าเนื้อ แต่ผู้หญิงกลับมีสีหน้าหยิ่งยโสไม่น้อยให้ความรู้สึกราวกับเธอเป็นคนที่สูงส่งมาตั้งแต่เกิด
เธอชื่อชีหย่า ประวัติของเธอดีมาก ว่ากันว่าเธอเป็นลูกหลานของนักการเมืองรุ่นที่สาม ดังนั้นเธอจึงมีโอกาสที่จะได้ทำงานที่นี่ต่อมากกว่าใครๆ สำหรับเธอแล้วคนทั้งหมดที่นี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ
ซูเล่อก็จับตาดูเธอเป็นพิเศษ เพราะตั้งแต่ที่เธอเข้ามาหญิงสาวทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอก็ก้มหน้าลงพึมพัมกับตัวเอง และยังมองเธอด้วยสายตาอิจฉาอีกด้วย
ในเวลานั้น สายตาของชีหย่าก็หันมามองซูเล่อด้วยความรังเกียจ “เธอคือคนที่แทรกเข้ามาเหรอ”
เมื่อเธอพูดแบบนั้นออกไป สายตาของคนที่เดิมทีไม่ชอบเธออยู่แล้วก็หันมามองเธอด้วยความไม่เป็นมิตร มีเพียงเจิ้งจวิ้นชินและเจ้าอ้วนสองคนที่ยังพอดูเป็นมิตรอยู่บ้าง ส่วนที่เหลือทั้งสี่ต่างมองเธอเป็นศัตรูไปหมด
ซูเล่อหน้าแดงขึ้น และไม่ได้พูดอะไร
“นี่มันไม่ยุติธรรมเลย พวกเราต่อสู้กับคนเป็นร้อยเป็นพันเพื่อให้ได้เข้ามา ส่วนเธอใช้แค่เส้นสายก็เข้ามาได้งั้นเหรอ เธอไม่ควรจะมีหน้ามาอยู่ที่นี่นะ!” ชีหย่าพูดถากถาง เธออยากให้ซูเล่อออกไปจากที่นี่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักป่วน ๆ ฉบับแม่เลี้ยงเดี่ยว
ค่าต่อการอ่านหน้าต่อไปแพงจังค่ะ...
มาแล้ว พึ่งเข้ามาดู...
รอๆๆคะ...
สรุปเรื่องไม่ไปต่อแล้วเหรอค่ะ ติดตามมาตลอดหายไปอีกรอบ เสียดายจังค่ะ กำลังสนุกเลย ด้วยเพราะเหตุผลอะไร ยังไงก็ขอขอบคุณค่ะที่ทำให้การอ่านมีความสุขกับตัวละครที่สร้างจินตนาการให้นะ่ค่ะ...
เรืองหยุดชะงักอีกรอบแล้ว ผู้แต่งไม่สบายหรือเปล่าค่ะ หรือติดอะไรยังก็ขอเป็นกำลังใจให้น่ะค่ะ รอการกลับมาของนิยายเรื่องนี้อยู่ตลอดค่ะ...
หายไป 3 วันแล้ว ไม่ลงตอนเพิ่ม มีอะไรไหมค่ะ แอดมิน.....
หายไป 2 วันแล้ว ไม่ลงตอนเพิ่ม มีอะไรไหมค่ะ แอดมิน...
สนุกมากค่ะ อยากให้ลงสักวันล่ะ 20 ตอนเลยค่ะ สนุกมากๆๆและมีลุ้นด้วยว่าจะยังไงต่อ ต่อไปจะเป็นคู่ของท่านรองปะค่ะ รองประธาน น่ะจะมีนะ555...
น่าสงสารนางเอกจัง และสงสารพระเอกที่จะบอกคนที่ตนเองรักยังไง ว่าคู่หมั้นตัวเองเป้นญาติกัน...
ติดตามต่อค่ะ สนุกมากๆๆๆ...