“จิ่วเฉิน อายังจำได้อยู่เลยว่าตอนนั้นหลานเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ อายุไม่กี่ขวบ อายังเคยกอดหลานอยู่เลย ตอนนี้ผ่านไปยี่สิบกว่าปี หลานได้เป็นคนคุมอำนาจตระกูลสีแล้ว ทั้งทำให้อารู้สึกผิดหูผิดตาแล้วก็รู้สึกภูมิใจมากเลยจริงๆ!” ชายคนนี้ทอดถอนใจออกมา ใช้ไพ่ครอบครัวเพื่อส่งเสียงอ้อนวอนขอร้องอย่างนุ่มนวลต่อไป “จิ่วเฉิน ช่วยไว้หน้าอาหน่อยนะ ให้อาได้ไปเจอย่าของหลานแค่สิบนาทีก็ได้”
“ผมจะพูดอีกครั้ง ไสหัวออกไปซะ” เสียงของสีจิ่วเฉินเย็นชาเฉียบคมราวกับใบมีด ไร้ความปราณีใดๆ ทั้งสิ้น
“หลาน…” เสียงของชายวัยกลายคนกำลังระงับความโกรธเอาไว้
ถึงแม้ว่าจะซ่อนตัวอยู่นอกหน้าต่าง แต่ถังจือซย่าก็สามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่หยุดนิ่งและสถานการณ์ที่ตึงเครียดจากข้างใน
“จิ่วเฉิน หลานจะไร้ความปราณีแบบนี้จริงๆ เหรอ ไม่ว่ายังไงอาก็เป็นคนของตระกูลสี เป็นอาของหลาน ทำไมหลานถึงได้ไม่ไว้หน้าอาแบบนี้”
“ตระกูลสีไม่มีคนแบบคุณมาตั้งนานแล้ว ในสายตาของผม คุณไม่ใช่อะไรสำหรับผมเลย” สีจิ่วเฉินพูดอย่างเย็นชา
“โอเค งั้นก็ดี ฉันจะจำคำพูดในวันนี้ของแกเอาไว้ จิ่วเฉิน แล้วแกจะเสียใจทีหลัง” สีรุ่ยหมิงตะโกนออกมาด้วยความโมโห และจากนั้นก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังปัง
ถังจือซย่าที่อยู่นอกหน้าต่างตื่นตระหนกจนหัวใจเต้นรัว เท้าเหยียบลงบนใบไม้แห้ง ส่งเสียงดังกรอบแกรบออกมาเล็กน้อย
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงตะโกนที่แสนเย็นชาดังออกมา “ใครน่ะ ออกมาซะ”
ถังจือซย่ากำลังคิดจะไปจากตรงนี้ แต่ก็ถูกประโยคที่ตวาดลั่นออกมาทำให้หัวใจเต้นรัวอีกครั้ง เธอตอบไปพร้อมกับใบหน้าอันแดงก่ำ “ฉันเอง…ถังจือซย่า”
ถังจือซย่าเพิ่งตอบออกไปเสร็จ ก็ก้าวมาปรากฏตัวที่หน้าต่าง สีจิ่วเฉิงมองเธอด้วยความแปลกใจ และพูดออกมาอย่างนุ่มนวล “ทำไมถึงเป็นเธอไปได้ล่ะ”
“ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง คุณจะเชื่อไหม” ถังจือซย่าพูดออกมาด้วยใบหน้าเหยเก รู้สึกเก้อเขินเป็นอย่างมาก
“ฉันก็ต้องเชื่ออยู่แล้ว เข้ามาเถอะครับ!” สีจิ่วเฉินยิ้มให้เธอ
ถังจือซย่าเดินเข้าไปจากทางด้านหน้า ก็พบว่าทั้งวิลล่าในห้องรับแขกมีเขาอยู่แค่คนเดียว ซึ่งเขานั่งอยู่บนโซฟา จุดไฟบุหรี่มวนหนึ่ง และกำลังสูบบุหรี่อยู่ เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ดีนัก
ถังจือซย่ารู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาครู่หนึ่ง เธอไม่รู้ว่าควรจะไปปลอบโยนเขายังไง
แต่การที่ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้ บางครั้งการแสดงออกทางการกระทำก็ง่ายมากกว่า ถังจือซย่ายื่นมือออกไปจับแขนของเขาเอาไว้ ในดวงตาแสดงให้เห็นถึงความหมายของความเป็นห่วงที่ไม่มีเสียงพูดออกมา
สายตาของสีจิ่วเฉินมองลงไปที่มือของเธอ เขาใช้มือข้างหนึ่งจับข้อมือของเธอ และใช้มืออีกข้างหนึ่งโอบเอวของเธอเอาไว้ ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ตัวติดอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด
ถังจือซย่าหายใจหอบเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้ดิ้นขัดขืน สายตาของสีจิ่วเฉินมองมาอย่างแพรวพราว ดวงตาของเขามีเสน่ห์เป็นอย่างมาก เพียงแค่ถูกเขาจ้องมองไม่ว่าผู้หญิงคนไหนต่างก็ต้องพากันใจเต้น
ถังจือซย่าไม่ใช่ทั้งรูปปั้น แล้วก็ไม่ใช่ทั้งท่อนไม้ ใจของเธอเองก็สั่นไหวเช่นกัน โดยเฉพาะสีจิ่วเฉินในตอนนี้ที่ส่งกลิ่นอายของความอ่อนแอออกมา ต้องการคนปลอบขวัญ ต้องการคนปลอบโยน
ตอนที่ชายคนนั้นเอียงหัวเล็กน้อยและเข้ามาใกล้เธอ ไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ว่าเขาจะทำอะไร
ไม่รู้ว่าเป็นแสงไฟบนหัว หรือแสงพระจันทร์บนท้องฟ้า หรือเป็นผู้ชายคนนี้ที่ทำการสะกดจิตให้เธอลุ่มหลง เอวของเธอถูกแขนที่แข็งแรงของผู้ชายคนนี้โอบกอดเอาไว้แน่น ในลมหายใจเต็มไปด้วยกลิ่นที่ชวนให้หลงใหลจากบนตัวของชายคนนี้ ถังจือซย่ารู้ดีว่าแบบนี้มันไม่ถูกต้อง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รักป่วน ๆ ฉบับแม่เลี้ยงเดี่ยว
ค่าต่อการอ่านหน้าต่อไปแพงจังค่ะ...
มาแล้ว พึ่งเข้ามาดู...
รอๆๆคะ...
สรุปเรื่องไม่ไปต่อแล้วเหรอค่ะ ติดตามมาตลอดหายไปอีกรอบ เสียดายจังค่ะ กำลังสนุกเลย ด้วยเพราะเหตุผลอะไร ยังไงก็ขอขอบคุณค่ะที่ทำให้การอ่านมีความสุขกับตัวละครที่สร้างจินตนาการให้นะ่ค่ะ...
เรืองหยุดชะงักอีกรอบแล้ว ผู้แต่งไม่สบายหรือเปล่าค่ะ หรือติดอะไรยังก็ขอเป็นกำลังใจให้น่ะค่ะ รอการกลับมาของนิยายเรื่องนี้อยู่ตลอดค่ะ...
หายไป 3 วันแล้ว ไม่ลงตอนเพิ่ม มีอะไรไหมค่ะ แอดมิน.....
หายไป 2 วันแล้ว ไม่ลงตอนเพิ่ม มีอะไรไหมค่ะ แอดมิน...
สนุกมากค่ะ อยากให้ลงสักวันล่ะ 20 ตอนเลยค่ะ สนุกมากๆๆและมีลุ้นด้วยว่าจะยังไงต่อ ต่อไปจะเป็นคู่ของท่านรองปะค่ะ รองประธาน น่ะจะมีนะ555...
น่าสงสารนางเอกจัง และสงสารพระเอกที่จะบอกคนที่ตนเองรักยังไง ว่าคู่หมั้นตัวเองเป้นญาติกัน...
ติดตามต่อค่ะ สนุกมากๆๆๆ...