ห้องวิจัยของเขาเป็นสถานที่แห่งความลับอย่างแท้จริง นอกจากตัวเขา ก็ยังไม่เคยมีใครเคยได้เข้าไปมาก่อนเลย
คนในตระกูลเย้นยิ่งรู้ถึงนิสัยในจุดนี้ของเขาดี และไม่มีใครบุกเข้าไปโดยไม่รับอนุญาต
แต่โห้หลีเฉินกลับกล้าใช้เรื่องนี้มาข่มขู่เขาอย่างนั้นเหรอ
ป่ายฉีบดกราม "โห้หลีเฉิน ตอนนี้มึงเป็นฝ่ายที่ต้องมาขอร้องกู มึงไม่กลัวกูจะแกล้งยอมคุร แต่กลับสอนมึงมั่วๆ อย่างนั้นเหรอ? พอถึงตอนนั้นคนที่จะซวยก็คือลูกของมึงเองนะ"
โห้หลีเฉินยิ้มออกมา "คุณไม่กล้าทำหรอก เพราะเขาก็เป็นลูกชายของคุณเหมือนกัน"
ป่ายฉี "........." มันช่างมีเหตุผลเหลือเกิน จนเขาไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปเถียงเลย
พอเห็นการโต้วาทีของชายทั้งสองสิ้นสุดลง หยุดลง เย้นหว่านก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา
ถ้าจะให้พวกเขามีเวลาไปทำการวิจัย เย้นหว่านก็ต้องลงมาจากอ้อมกอดของโห้หลีเฉิน หันหน้าไปมองพื้น จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้
เธอตะโกนออกมาด้วยความตกใจ "โห้หลีเฉิน นี่ขาของคุณหายดีแล้วเหอคะ?"
โห้หลีเฉินจ้องมองหญิงสาวที่ตอบสนองช้าไปมากโขด้วยสีหน้าที่จะยิ้มไม่ยิ้ม หมดคำจะพูด
เย้นหว่านไม่ได้สนใจเลยสักนิด เธอกระโดดลงจากอ้อมกอดของเขาทันที แล้วเดินวนรอบตัวเขาอย่างตื่นเต้น
ยิ้มด้วยความตื่นเต้นจนมุมปากเบี้ยว "นี่คุณหายแล้วจริงๆ เหรอ? ขาของคุณหายดีแล้ว คุณสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบแล้ว!"
ถึงว่าทำไมรถเข็นถึงจอดอยู่ตรงนั้นไม่มีใคร แต่โห้หลีเฉินกลับสามารถวิ่งไปเด็ดดอกไม้มาได้
ที่แท้เขาก็หายแล้ว
หายดีสมบูรณ์!
ไม่ต้องนั่งรถเข็นอีกแล้ว และไม่ต้องใช้ไม้เท้า และเขาก็กลับมาเดินเหินได้เหมือนคนปกติทั่วไปอีกครั้ง
กลับมาเป็นโห้หลีเฉินก้าวเดินพร้อมกับสายลม หล่อเหลาเกินกว่าใคร
เย้นหว่านดีใจจนอยากจะวิ่งวุ่นอยู่กับที่ จมูกก็ยิ่งเมื่อยล้า ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ
แต่แล้ว ก่อนที่น้ำตาของเธอจะไหลพรวดพราดลงมา ก็ได้มีเสียงที่ไม่เหมาะสมและบัดซบสุดๆ ดังขึ้น
"ถึงจะเดินได้แล้ว แต่ระวังอย่างกระโดดสูงเกินจนมันพังไปอีกล่ะ"
เย้นหว่านกัดฟันแน่น จนอยากจะฉีกปากเสียๆ ของป่ายฉีทิ้งซะ
เธอกอดเอวของโห้หลีเฉินไว้ แล้วพูดกับป่ายฉีด้วยความโมโหว่า "ปากคุณเสียขนาดนี้ ต่อไปจะหาแฟนได้รึเปล่าเนี่ย?"
ป่ายฉีตัวจริงเสียงจริง ต้องเป็นแบบนี้
ปากเสียจนน่าหงุดหงิด ไร้ความรู้สึกไร้หัวใจ เป็นผู้ชายซื่อบื้อที่ไม่เข้าใจผู้หญิง
"หึ"
ป่ายฉีเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ชอบใจ สายตาก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ "การมีความรักมันน่าขยะแขยงจะตาย ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องการหรอก"
เย้นหว่าน "ถ้าแน่จริงคุณก็เป็นหมาโสดไร้คู่ไปตลอดชีวิตเลย อย่าตบหน้าตัวเองซะล่ะ"
"ชิ เป็นหมาของกูก็คือการอยู่แบบโสดๆ ตลอดไป"
ป่ายฉีพูดด้วยท่าทีที่เป็นจริงเป็นจัง
แต่เขากลับไม่รู้เลยว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ หน้าของเขาก็ถูกตบจนบวมเลย......
------
ขาของโห้หลีเฉินฟื้นฟูจนสามารถกลับมาเดินได้เป็นปกติแล้ว และความแข็งแรงก็เท่ากับเมื่อก่อนเลย ไม่มีผลข้างเคียงอะไรทั้งนั้น
เย้นหว่านสุขใจมาก
เมื่อสามารถเดินเหินได้อย่างสะดวก โห้หลีเฉินก็สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้สะดวกมากขึ้น
และหนึ่งในสิ่งที่ต้องทำก็คือการพาโห้หยูเซิงออกไปข้างนอก
ออกไป ออกไปจากบ้านตระกูลเย้นที่สงบสุขเพื่อไปเจอกับโลกที่แสนวุ่นวาย ออกไปพบกับโลกภายนอก
ตอนที่เย้นหว่านได้ยินข้อเสนอนี้ก็ตกใจจนสะดุ้ง เธอรู้ว่าแผนที่โห้หลีเฉินวางไว้คือการพาโห้หยูเซิงออกไปพบปะผู้คนกับเรื่องต่างๆ แต่เธอนึกว่า ในช่วงนี้แค่ทำให้โห้หยูเซิงได้มีสัมพันธ์กับคนในตระกูลเย้นเพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์ให้เขาก็พอแล้ว
แต่ไม่นึกเลยว่าเริ่มแรกก็จะคึกจนพาเขาออกสู่โลกภายนอกแบบนี้
หลังจากที่ตกลงกันได้ โห้หลีเฉินกับเย้นหว่านก็ตั้งใจจะพาโห้หยูเซิงออกไปข้างนอกแล้ว
ปกติโห้หยูเซิงจะไม่ออกจากห้องของตัวเอง มีเพียงช่วงเวลากำหนดที่ต้องออกไปพบจิตแพทย์ ถึงยอมออกมาด้วยความหงุดหงิด
และมันก็เป็นสิ่งที่จิตแพทย์ขอเขาไว้แต่แรกแล้ว
เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ โห้หยูเซิงยอมออกจากห้องแป๊บหนึ่ง แต่สิ่งที่พยายามไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยมีเพียงเวลาที่ต้องพบจิตแพทย์เท่านั้นที่โห้หยูเซิงยอมออกจากห้อง
โห้หลีเฉินจึงใช้ช่วงเวลาหลังจากที่พาโห้หยูเซิงออกมา แต่ไม่ได้พาไปพบจิตแพทย์ กลับพาเขาไปขึ้นเครื่องบินที่จะออกจากตระกูลเย้นแทน
ร่างกายเล็กๆ ของโห้หยูเซิงนั่งอยู่ตรงขอบหน้าต่างของเฮลิคอปเตอร์ ใบหน้าที่ขาวใสของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ สายตาก็จ้องมองไปยังเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม
และดูจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่าทำไมกำหนดการจึงมาการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เส้นทางเส้นเดิมทีจะไปพบจิตแพทย์
หรือว่า เขาไม่เคยสนใจเส้นทางที่ใช้มาก่อนเลย
แรบบิทก็ตามขึ้นมา แล้วไปนั่งอยู่ข้างๆ โห้หยูเซิง
เมื่อเทียบกับโห้หยูเซิงที่นั่งอย่างเป็นจริงเป็นจังแล้ว เธอกลับทิ้งตัวลงบนโซฟาราวกับคนที่ไม่มีกระดูก ขาเล็กๆ ทั้งสองข้างก็แกว่งไปมาอยู่ตรงนั้น
ทำตัวชิวมาก
ส่วนเย้นหว่านกับโห้หลีเฉินก็นั่งกอดคอกันอยู่ข้างหลัง มองผ่านเก้าอี้ไปยังเด็กน้อยทั้งสอง
เธอนั้นกำลังตื่นเต้น สายตาก็จ้องไปยังโห้หยูเซิงอยู่ตลอดหลังจากที่เด็กคนนี้มีความคิดเป็นของตัวเอง ก็ไม่เคยออกห่างจากห้องของตัวเองมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกจากขอบเขตของตระกูลเย้นเลย
ไม่รู้ว่าครั้งแรกที่ได้ออกมา เขาจะคุ้นเคยได้รึเปล่า หรือจะต่อต้านอย่างหนักกันนะ
พูดกันตามตรง เย้นหว่านไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด
"ว้าว ข้างล่างนั่นสวยมากเลย"
แรบบิทตะโกนออกมาด้วยความดีใจ ร่างกายเล็กๆ ของเธอหลุดออกจากเข็มขัดนิรภัย แล้วคลานไปยังหน้าต่าง
ส่วนโห้หยูเซิงก็กำลังนั่งอยู่ที่ขอบหน้าต่าง พอแรบบิทคลานไปแบบนี้ มือเล็กๆ ของเธอก็วางลงตรงข้างขาของโห้หยูเซิง และร่างกายก็บังอยู่เต็มหน้าของโห้หยูเซิง
สีหน้าเล็กๆ ของโห้หยูเซิง มีการเปลี่ยนแปลงทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
อืดอาด มีเรื่องคู่นั้นคู่นี้แทรกมาตลอด แล้วยังออกทะเลไปไม่รู้กี่รอบ วนอยู่แต่กับความโง่ของนางเอกและความปิดปังเพราะรักของพระเอก เฮ้อ ทนอ่านมาเพราะอยากรู้ตอนจบ แต่หงุดหงิกมาก...
ฝึกฝนตัวเองหาทางช่วยสามีมันก็ดี แต่ถึงขนาดทิ้งลูกให้คนอื่นดูแลนี่ไม่ไหว เลี้ยงเด็กยังไงให้เป็นแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมเป็นภาระ ใช้ชีวิตโง่ ๆ มีศัตรูอยู่ แต่ไม่พาการ็ดไปด้วย พอลูกมีปัญหาที่รร. แทนที่จะเรียกสามี มาช่วยตั้งแต่แรก เสือกจะสู้เอง...
นางเอกอ้อนแอแถมโง่ แต่ก็ไม่ฟังพระเอก เสือกวิ่งไปวิ่งมาให้ถูกคนทำร้าย อ่านแล้วรำคาญ...
นางเอกโง่เง่าไม่มีการพัฒนา...
ทำไมไม่บอกพระเอกแล้วให้จัดการกับนังนั่น...
โอน่อหยาก็รู้นี่นาว่านางเอกเป็นคู่หมั้นประธาน ทำไมยังกล้าใส่ร้ายหรือแปลกใจว่านางเอกยังมีคนหนุน...
เนื้อเรื่องยืดยาวววน่าเบื่อมาก วนไปมาไม่เข้าเรื่องสักทีอ่านจนไม่อยากอ่านต่อน่าเบื่อเกิน ไม่เข้าเรื่องพระเอกกับนางเอกสักที วนอยู่ที่เดิมจนไม่น่าติดตามเพราะน่าเบื่อ...