บทที่ 137 แสดงความรักใคร่
วันต่อมา
ตอนเช้าเย้นซินลุกขึ้นมาแล้ว หล่อนเก็บความตื่นเต้นที่อยู่ในใจไว้ไม่อยู่ อยากเห็นกับตาตนเองความสัมพันธ์ระหว่างโห้หลีเฉินและเย้นหว่านพังทลายลง
ต่อมาคือประกาศถอนหมั้น
หล่อนรออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ตั้งแต่เช้า ดูเวลาอีกทีหนึ่ง ปกติเวลานี้เว่ยชีเตรียมส่งอาหารเช้าเข้ามาแล้ว แต่ว่าตอนนี้แม้แต่เงาเว่ยชียังไม่มี อาหารเช้าก็ไม่มีแม้แต่เงา
นี่หมายความว่าเมื่อคืนโห้หลีเฉินกับเย้นหว่านต้องไม่เบิกบานกันแน่ แม้กระทั่งอารมณ์กินข้าวเช้ายังไม่มี
ดีมาก
ช่างดีเหลือเกิน
เย้นซินเกือบซ่อนรอยยิ้มที่แผนการร้ายบรรลุผลบนใบหน้าไว้ไม่ได้ ตอนนี้ทุกอย่างสำเร็จแล้ว หล่อนใกล้จะได้เป็นคุณนายตระกูลโห้แล้ว
หล่อนมองไปทางบันไดด้วยความรอคอยมากๆ รอคนต้นเรื่องลงมา
“ตึงๆๆ”
เสียงฝีเท้าเดินลงบันได ดังขึ้นมาในยามเช้าที่เงียบสงบ
ชั่วขณะนั้นเย้นซินถลึงตาโตด้วยความตื่นเต้น มองเข้าไปอย่างรอคอยเต็มที่ กลับมองเห็นอย่างตกใจ.......
โห้หลีเฉินกับเย้นหว่านเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันลงมา ส่วนแขนของโห้หลีเฉินพาดบนไหล่ของเย้นหว่าน โอบเธอมาไว้ในอ้อมอกอย่างแนบชิด
เย้นหว่านไม่สบายมากนัก พยายามลองดันมือเขาออกอยู่ไม่ขาด
แต่ดันนิดหน่อย โห้หลีเฉินกลับโอบเธอไว้อีก กอดแน่นยิ่งกว่าเดิม
ทั้งสองคนเดินลงมาอย่างเธอก้าวลงฉันก้าวลงแบบนี้ ดูเหมือนบรรยากาศกลมเกลียวกันมาก แม้กระทั่งสนิทสนมหลายเท่ากว่าสองวันก่อนอีก
เย้นซินเบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เรื่องเมื่อคืนวุ่นวายใหญ่โตแบบนั้น ทั้งที่โห้หลีเฉินโกรธขนาดนั้น แต่ทำไมพอผ่านไปคืนเดียว ไม่ใช่ว่าโกรธเคืองอยากถอนหมั้นกับเย้นหว่าน แต่ว่า......ความสัมพันธ์ยิ่งดีแล้ว?
หล่อนเกือบจะกดความสงสัยในใจไว้ไม่อยู่ หลุดปากพูด “พี่ พี่กับพี่เขยไม่เป็นอะไร?”
เย้นหว่านมึนงงนิดหน่อย เย้นซินถามแบบนี้หมายความว่าอะไร?
และเวลาเดียวกันนี้ สายตาเย็นเฉียบของโห้หลีเฉินกวาดไปทางเย้นซิน อันตรายจนทำให้คนหวาดกลัว
ร่างกายของเย้นซินขนลุกอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าสักกี่ครั้ง การเผชิญหน้ากับโห้หลีเฉิน หล่อนต่างรู้สึกหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ
หล่อนกัดฟันแล้ว แสร้งทำลักษณะหน้าตาที่เป็นห่วง
“ขอโทษนะคะพี่ เมื่อคืนเป็นฉันไม่ดีเอง ทำให้พี่เขยเข้าใจผิด พี่เขยโกรธมากเลย ฉันรู้สึกผิดในใจทั้งคืน กลัวว่าพวกพี่จะทะเลาะไม่เข้าใจกันเพราะเหตุนี้ แล้วความสัมพันธ์จะไม่ลงรอย”
เย้นหว่านยิ่งสงสัยอีก “เธอไปหาเรื่องให้พี่เขยเธอโกรธได้อย่างไร?”
ที่เธอยิ่งประหลาดใจคือ ตอนนี้เย้นซินยังอยู่ที่นี่ได้อย่างไม่เป็นไร แถมยังมีชีวิตอย่างสงบ
เย้นซินสำลักค้าง การตอบสนองของเย้นหว่านนี่คืออะไร? อะไรเรียกว่าหล่อนหาเรื่องให้พี่เขยโกรธ......
เมื่อคืนเดิมทีพี่เขยไม่ได้โกรธกับเย้นหว่านเพราะเหตุนี้? นั่นเป็นไปไม่ค่อยได้ นอกใจเรื่องใหญ่ขนาดนั้น
เย้นซินพูดอย่างไม่พอใจ “ไม่ใช่ฉันที่หาเรื่องให้พี่เขยโมโห เป็นพี่กับ......”
“ใครบอกฉันโกรธ?”
เสียงเย็นของโห้หลีเฉินขัดคำพูดของเย้นซินขึ้น การแสดงออกยิ่งเย็นชา “เย้นซิน เธอเป็นห่วงเกินไปหน่อยแล้ว”
เสียงทุ้มต่ำเจือปนความอันตรายที่ทำให้คนขวัญผวา
ชั่วขณะหนึ่งเย้นซินก็เสียวสันหลัง
หล่อนเกือบจะเอ่ยปากโดยสัญชาตญาณ “ขอโทษค่ะ พี่เขย เป็น เป็นฉันคิดมากไปเอง”
เห็นท่าทางเย้นซินตกใจ ในที่สุดเย้นหว่านก็แข็งใจไม่ไหวเท่าไร โดยเฉพาะเป็นน้องสาวของตนเอง
เธอยิ้มแตะๆ ไหล่ของเย้นซิน พูดปลอบใจเบาๆ
“ไม่เป็นไร ถึงแม้พี่เขยเธอจะนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็ไม่ใช่คนโกรธง่ายขนาดนั้น จะว่าไปถ้าเขาโกรธขึ้นมาจริงๆ เธอคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ดีๆ หรอก
ทำใจให้สบาย อยู่ที่บ้านดีๆ”
ฟังเย้นหว่านแต่ละคำแต่ละประโยคเรียก ‘พี่เขยเธอ’ โห้หลีเฉินที่แต่ไหนแต่ไรไม่ชอบผูกความสัมพันธ์อะไรกับคนอื่น เวลานี้กลับรู้สึกว่าสามคำนี้รื่นหูเป็นพิเศษ
อารมณ์ของโห้หลีเฉินเหมือนยิ่งดีสักหน่อย ฝ่ามือใหญ่โอบเข้ามา ดึงเย้นหว่านมาในอ้อมอกอีกครั้ง
กลิ่นอายของชายหนุ่มกระโจนมา ทำให้หัวใจเย้นหว่านหวั่นไหว
ไม่รู้ว่าทำไมเริ่มตั้งแต่เมื่อคืน โห้หลีเฉินก็ลงไม้ลงมือกับเธอสารพัด ไม่ก็จูงมือเธอ ไม่ก็กอดเธอไว้ อย่างกับเป็นแผ่นกอเอี๊ยะ
เย้นซินยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม บนหน้าเผยท่าทางที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมออกมา
เสียงเห็นได้ชัดว่าน่าสงสารมาก “งั้นตอนกินข้าวฉันจะทำยังไง?”
หล่อนมองทางเว่ยชี พูดอย่างลำบากใจเพิ่มขึ้น “อาหารเช้ายังไม่ได้ส่งเข้ามา เดี๋ยวจะมีคนส่งเข้ามาเหรอ?”
เว่ยชีส่ายหน้า “ไม่มี”
เย้นซินรีบกะพริบตามองโห้หลีเฉิน “พี่เขย วันนี้เรื่องกินข้าวฉันจะทำยังไง?”
ไม่ให้กุญแจก็ไม่สะดวกออกไปข้างนอก กินข้าวก็ไม่สะดวก แต่คงไม่สามารถให้หล่อนทนหิวทั้งวันได้ ดังนั้นว่าตามเหตุผลทั่วไป ไม่อย่างนั้นก็ส่งอาหาร ไม่อย่างนั้นก็ให้กุญแจ
แต่โห้หลีเฉินแม้แต่จะมองก็ไม่มองหล่อนสักแวบ ราวกับเรื่องที่ต้องพิจารณานี้ สำหรับเขาแล้วไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจเลย
เขาโอบเย้นหว่านไว้ ขึ้นรถไปโดยตรง
เย้นซินลำบากเหลือทนตัวแข็งอยู่ที่เดิม ความน่าสงสารอย่างมากของหล่อนไม่ได้เข้าตาผู้ชายคนนั้นสักนิด
แม้กระทั่งสนใจก็ยังไม่สนใจหล่อน
เย้นหว่านนั่งอยู่บนรถ มองเย้นซินผ่านกระจกรถ ก่อนที่เว่ยชีจะขับรถออกไป รีบพูดประโยคหนึ่ง
“เย้นซิน ถ้าเธอไม่ออกไปข้างนอกก็สั่งอาหารมากิน”
เย้นซินโมโหยกหนึ่ง เป้าหมายของหล่อนไม่ใช่เพื่อสั่งอาหารมากิน จะว่าไปเขตคฤหาสน์หรูแบบนี้ คนส่งอาหารสามารถเข้ามาได้เหรอ?
แต่หล่อนถึงไม่พอใจอย่างไร กลับได้เพียงมองรถหรูตรงหน้าขับออกไปหน้าตาเฉย
จนกระทั่งมองไม่เห็นท้ายรถแล้ว อารมณ์บนใบหน้าของเย้นซินถึงเปลี่ยนไป ทำหน้าตาเกลียดชังและอิจฉา เหมือนโกรธจนแทบบ้า
เมื่อวานหล่อนเสียแรงวางแผนให้โห้หลีเฉินเข้าใจเย้นหว่านผิดขนาดนั้น ทั้งๆ ที่โห้หลีเฉินโกรธ ทั้งที่ถอนหมั้นก็เป็นเรื่องแน่แท้อยู่แล้ว แต่ทำไมผ่านไปคืนเดียว ล้วนเปลี่ยนเป็นแบบนี้?
ไม่เพียงความสัมพันธ์ของเย้นหว่านกับโห้หลีเฉินไม่มีพัง แม้กระทั่งยังกลายเป็นดียิ่งขึ้น
ทั้งสองออกไปด้วยกัน ทานข้าวเช้าด้วยกัน ยังไม่สนใจหล่อน......
ในหน้าอกหล่อนไฟกองหนึ่งเดือดผุดเดิมทีไม่มีทางระบายได้ ได้แต่ถีบประตูอย่างแรง แต่ประตูนี้วัสดุดีมากๆ หล่อนใส่รองเท้าของสลิปเปอร์ พอถีบไป ชั่วขณะที่เท้าหยุดไป ความเจ็บดุเดือดก็ลอยมา
“......”
เย้นซินรีบกอดเท้าไว้ เจ็บจนหน้าบิดเบี้ยวไปหมด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
อืดอาด มีเรื่องคู่นั้นคู่นี้แทรกมาตลอด แล้วยังออกทะเลไปไม่รู้กี่รอบ วนอยู่แต่กับความโง่ของนางเอกและความปิดปังเพราะรักของพระเอก เฮ้อ ทนอ่านมาเพราะอยากรู้ตอนจบ แต่หงุดหงิกมาก...
ฝึกฝนตัวเองหาทางช่วยสามีมันก็ดี แต่ถึงขนาดทิ้งลูกให้คนอื่นดูแลนี่ไม่ไหว เลี้ยงเด็กยังไงให้เป็นแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมเป็นภาระ ใช้ชีวิตโง่ ๆ มีศัตรูอยู่ แต่ไม่พาการ็ดไปด้วย พอลูกมีปัญหาที่รร. แทนที่จะเรียกสามี มาช่วยตั้งแต่แรก เสือกจะสู้เอง...
นางเอกอ้อนแอแถมโง่ แต่ก็ไม่ฟังพระเอก เสือกวิ่งไปวิ่งมาให้ถูกคนทำร้าย อ่านแล้วรำคาญ...
นางเอกโง่เง่าไม่มีการพัฒนา...
ทำไมไม่บอกพระเอกแล้วให้จัดการกับนังนั่น...
โอน่อหยาก็รู้นี่นาว่านางเอกเป็นคู่หมั้นประธาน ทำไมยังกล้าใส่ร้ายหรือแปลกใจว่านางเอกยังมีคนหนุน...
เนื้อเรื่องยืดยาวววน่าเบื่อมาก วนไปมาไม่เข้าเรื่องสักทีอ่านจนไม่อยากอ่านต่อน่าเบื่อเกิน ไม่เข้าเรื่องพระเอกกับนางเอกสักที วนอยู่ที่เดิมจนไม่น่าติดตามเพราะน่าเบื่อ...