บทที่ 191 คุณไม่มีสิทธิ์
พอเย้นหว่านรู้ความจริง เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เหมือนโยนก้อนหินก้อนใหญ่ที่ทับตัวเธอของออกไปได้ ทำให้เธอรู้สึกสบายตัว และโล่งอกมาก
สายตาของโห้หลีเฉินมองที่เย้นหว่านตลอดเวลา ทำให้เขาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของเธออย่างชัดเจน ท่าทางของเธอเหมือนโล่งอกมากพอรู้ความจริงว่าเขากับมู่หรุงชิ่นไม่ใช่แฟนกัน ดูเหมือนเธอ จะดีใจมาก
โห้หลีเฉินเริ่มมีความหวัง เขาขยับตัวเข้าใกล้เย้นหว่าน ก่อนจะพูดด้วยเสียงแหบต่ำยั่วยวน “เย้นหว่าน ที่คุณตีตัวออกห่างจากผมตลอด เพราะคิดว่าผมกับมู่หรุงชิ่นเป็นแฟนกันอย่างนั้นเหรอ”
ที่เขาพูดมาก็ไม่ผิด เย้นหว่านพยักหน้าอย่าลืมตัว
โห้หลีเฉินเม้มปาก ก่อนจะยกยิ้มกริ่ม ก่อนจะถามต่อ “ที่คุณปฏิเสธคำขอแต่งงานของผม ก็เพราะไม่อยากเป็นมือที่สาม”
จริงอยู่ที่เธอไม่อยากเป็นมือที่สาม และเธอไม่อยากเสียสละชีวิตแต่งานของเธอไปโดยไม่รู้เรื่องอะไร พอได้ยินเธอจึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร เย้นหว่านจึงเผลอพยักหน้าอีกครั้ง
ดูเหมือนโห้หลีเฉินจะอารมณ์ดีไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เสียงของเขากลับต่ำ ท่าทางตื่นเต้นและตั้งตารอ
“แล้วตอนนี้ไม่มีอุปสรรคแล้ว คุณจะลองพิจารณาเรื่องแต่งงานกับผมอีกครั้งไหมครับ”
พอเรื่องราวเปลี่ยนไปแบบนี้ เธอคงต้องพิจารณาใหม่จริงๆ ที่เขาพูดแบบนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เย้นหว่านพยักหน้า พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าโห้หลีเฉินอยู่ใกล้เธอมาก เขากำลังส่งยิ้มมาให้เธอ ทำให้คนที่ได้เห็นหายใจไม่ทั่วท้อง และรู้สึกทำตัวไม่ถูกด้วย
เธอเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้ พิจารณาเรื่องการแต่งงานอะไรกัน งั้นก็เท่ากับว่าเธอกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่จริงๆน่ะสิ ถ้าพิจารณาก็เท่ากับว่ามีโอกาสตอบตกลงได้ เธอไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ
เย้นหว่านรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว เธอพูดอ้ำอึ้ง “ฉัน ฉัน…ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“แล้วหมายความว่ายังไง”
โห้หลีเฉินจ้องหน้าเย้นหว่านเขม็ง แล้วถาม
แววตาของเขาคมกริบ จ้องเขม็งมาที่เธอ เหมือนจะมองเข้าไปถึงจิตวิญญาณของเธอ
เย้นหว่านใจเต้นจนแทบจะกระเด็นออกมาจากหน้าอก สมองของเธอสับสนวุ่นวายไปหมด
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าโห้หลีเฉินกับมู่หรุงชิ่นเป็นแฟนกัน และที่ต้องแต่งงานกับเธอ ก็เพื่อปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างมู่หรุงชิ่นกับเขา อีกทั้งยังคิดจะให้เย้นหว่านอุ้มท้องแทน
สำหรับเย้นหว่านแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องเสียศักดิ์ศรี และเสียสละตัวเองมากเกินไป ดังนั้น เธอไม่เคยคิดจะตอบตกลงกับเรื่องนี้
แต่ตอนนี้ ในเมื่อโห้หลีเฉินกับมู่หรุงชิ่นไม่ได้เป็นอะไรกัน งั้นเรื่องอุ้มท้องแทนอะไรพวกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องจริง แล้วที่โห้หลีเฉินขอเธอแต่งงาน…เขาทำไปเพื่ออะไร
เย้นหว่านจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ตอนนี้เธอรู้สึกสับสนมาก มีหลายเรื่องที่วนเวียนอยู่ในใจ แต่เธอกลับไม่กล้าคิดให้ลึกไปมากกว่านี้ ไม่กล้าคาดเดาอะไร และยิ่งไม่กล้าตอบคำถามของโห้หลีเฉินด้วย…
เย้นหว่านรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เธอลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินหนีไป แต่โห้หลีเฉินกลับไม่ให้โอกาสนั้นกับเธอ เขาคว้าแขนของเธอไว้ แล้วกดเธอลงบนโซฟา
ร่างสูงใหญ่ของเขาทาบอยู่บนตัวของเธอ ใช้ร่างของเขาบังเธอไว้ไม่ให้หนีไปไหน
เขาจ้องหน้าเธอนิ่ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงยั่วยวน “เย้นหว่าน ตอนนี้คุณจะยอมแต่งงานกับผมได้หรือยัง”
ถึงมันจะกะทันหัน แต่กลับแสดงออกอย่างชัดเจน ว่าเขากำลังขอเธอแต่งงานอีกครั้ง
เย้นหว่านมองหน้าเขาอย่างมึนงง ใจเต้นแรงและเร็วมากจนแทบจะกระเด็นออกมา
ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่โห้หลีเฉินวางแผนขอแต่งงานกับเธอในสวนดอกไม้หลังบ้าน ตอนนั้นถึงแม้จะโรแมนติก ถึงแม้จะทุ่มเททั้งกายและใจ แต่เย้นหว่านกลับรู้สึกว่าเขามีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงอยู่ เธอไม่ได้รู้สึกดีใจเลย แต่กลับรู้สึกเศร้าใจ และต่อต้าน
แต่ครั้งนี้ แค่เขาล้อมเธอไว้ แล้วขอเธอแต่งงานออกมา โดยไม่ต้องมีพิธีการอะไร แต่เย้นหว่านกลับรู้สึกใจเต้นรัว หวั่นไหวอย่างถึงที่สุด
พอเห็นท่าทางตีตัวออกห่างของเย้นหว่าน โห้อหลีเฉินที่กำลังอารมณ์ดี ก็กลายเป็นอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที
เขานั่งลงด้านข้าง แล้วมองไปทางมู่หรุงชิ่นด้วยความไม่พอใจ
มู่หรุงชิ่นรู้สึกขนลุก เธอรู้อยู่เต็มอก ว่าที่โห้หลีเฉินอารมณ์ไม่ดีเพราะเธอเข้ามาขัดจังหวะ แต่ว่าเธอจะยอมรับออกมาต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ และไม่มีทางยอมแพ้ให้กับเย้นหว่านอย่างแน่นอน
เธอทำท่าทางเหมือนหญิงสาวแสนดี แล้วเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฉินคะ คงเป็นเพราะเสี่ยวหว่านไม่สบายก็เลยมาร่วมงานสาย ไปชนแก้วกับแขกพร้อมกับคุณไม่ไหว คุณเห็นแก่ที่เธอเป็นคนป่วยอยู่ อย่าโกรธเธอเลยนะคะ”
คำพูดประโยคนี้ ฟังดูแล้วเหมือนจะพูดด้วยความหวังดี และเพื่อเย้นหว่าน แต่พอมาคิดดูดีๆ ถ้าเย้นหว่านยังคงเข้าใจผิดอยู่ ว่ามู่หรุงชิ่นเป็นแฟนของโห้หลีเฉิน คำพูดแบบนี้ ก็เหมือนกำลังบอกว่าใครเป็นตัวหลักของงานกันแน่ และยิ่งเหมือนกับแฟนสาวกำลังออดอ้อนแฟนของตัวเองอยู่
ส่วนท่าทีของโห้หลีเฉินที่มีต่อเย้นหว่านก็เปลี่ยนไป ทั้งหมดเป็นเพราะฝีมือของมู่หรุงชิ่นทั่งนั้น
เมื่อก่อนมู่หรองชิ่นก็ใช้หลักจิตวิทยานี้ เธอใช้ท่าทางอ่อนหวานแบบนี้ มาโกหกเย้นหว่านจนเข้าใจผิด และจากด้านของโห้หลีเฉิน เขาคิดว่าเป็นการพูดปลอบใจระหว่างเพื่อน จึงไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกอะไร
โห้หลีเฉินไม่ปฏิเสธ จึงทำให้มู่หรุงชิ่นยิ่งได้ใจมากขึ้นไปอีก
ก่อนหน้านี้เย้นหว่านถูกหลอกจนหลงกล ก็เพราะมู่หรุงชิ่นใช้ลูกไม้นี้กับเธอ ทำให้เย้นหว่านรู้สึกอยากจะอ้วกมาก
เธอเตรียมจะโต้กลับมู่หรุงชิ่น เปิดโปงความเสแสร้งแกล้งทำของมู่หรุงชิ่นให้คนอื่นได้รู้ ทำให้เธอเล่นละครต่อไปไม่ได้อีก แต่สุดท้ายเย้นหว่านก็ยังกลั้นใจฝืนทนไว้
เหตุผลแรก เพราะคืนนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของโห้หลีเฉิน เธอไม่อยากให้มีเรื่องมีราวอะไรในงาน เหตุผลที่สอง มู่หรุงชิ่นเป็นเพื่อนของโห้หลีเฉิน ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น โห้หลีเฉินจะรู้สึกขายหน้าๆ
เธอสูดหายใจเข้าลึก พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ พยายามแสยะยิ้มออกมาอย่างมีมารยาท เธอเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะชิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เรื่องของผม คุณมีสิทธิ์เข้ามายุ่งด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
อืดอาด มีเรื่องคู่นั้นคู่นี้แทรกมาตลอด แล้วยังออกทะเลไปไม่รู้กี่รอบ วนอยู่แต่กับความโง่ของนางเอกและความปิดปังเพราะรักของพระเอก เฮ้อ ทนอ่านมาเพราะอยากรู้ตอนจบ แต่หงุดหงิกมาก...
ฝึกฝนตัวเองหาทางช่วยสามีมันก็ดี แต่ถึงขนาดทิ้งลูกให้คนอื่นดูแลนี่ไม่ไหว เลี้ยงเด็กยังไงให้เป็นแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมเป็นภาระ ใช้ชีวิตโง่ ๆ มีศัตรูอยู่ แต่ไม่พาการ็ดไปด้วย พอลูกมีปัญหาที่รร. แทนที่จะเรียกสามี มาช่วยตั้งแต่แรก เสือกจะสู้เอง...
นางเอกอ้อนแอแถมโง่ แต่ก็ไม่ฟังพระเอก เสือกวิ่งไปวิ่งมาให้ถูกคนทำร้าย อ่านแล้วรำคาญ...
นางเอกโง่เง่าไม่มีการพัฒนา...
ทำไมไม่บอกพระเอกแล้วให้จัดการกับนังนั่น...
โอน่อหยาก็รู้นี่นาว่านางเอกเป็นคู่หมั้นประธาน ทำไมยังกล้าใส่ร้ายหรือแปลกใจว่านางเอกยังมีคนหนุน...
เนื้อเรื่องยืดยาวววน่าเบื่อมาก วนไปมาไม่เข้าเรื่องสักทีอ่านจนไม่อยากอ่านต่อน่าเบื่อเกิน ไม่เข้าเรื่องพระเอกกับนางเอกสักที วนอยู่ที่เดิมจนไม่น่าติดตามเพราะน่าเบื่อ...