บทที่ 30 ให้คนของฉันเอง
ลังเลอยู่สักพัก เย้นหว่านฝืนยิ้มขึ้น ตอบกลับแบบกลางๆ
“ในฐานะที่เป็นพนักงานของบริษัทแห่งนี้ ฉันก็เหมือนกับทุกคน ที่คอยเป็นห่วงสุขภาพของท่านประธานอยู่เสมอ”
กลุ่มคนพวกนั้นมองมาที่หล่อนด้วยสีหน้าตกตะลึง แม้ว่าไม่รู้ว่าหล่อนทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แต่การมาส่งข้าวเช่นนี้ช่างเป็นวิธีที่สิ้นคิดไร้ประโยชน์เหลือเกิน
ผู้ติดตามใกล้ชิดของท่านประธานอย่างเว่ยชีมาส่งอาหารจากเชฟฝีมือชั้นเลิศ เขายังไม่สนใจสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกล่องข้าวจากโรงอาหารที่เย้นหว่านนำมาส่ง
โห้หลีเฉินมองตรงไปที่เย้นหว่าน พูดกับหล่อนด้วยความไม่พอใจ แต่กลับอารมณ์ดีขึ้นเยอะทีเดียว
เขาปิดแฟ้มเอกสารในมือลง พูดกับกลุ่มคนตรงหน้า
“พวกคุณออกไปกันได้แล้ว”
ทุกคนทำสีหน้าตกตะลึง รู้สึกเหลือเชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ท่านประธานปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้จริงๆงั้นเหรอ? เขาจะกินอาหารที่เย้นหว่านเอามาให้จริงเหรอ
ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยและความตกตะลึง แต่พวกเขาไม่กล้าอยู่ต่อไปอีก รีบออกไปจากห้องทำงานอันน่ากลัวให้เร็วที่สุด
เย้นหว่านถือเป็นคนฉลาด มีไหวพริบดี รีบถือกล่องข้าวไปตั้งไว้ที่ข้างโต๊ะ เปิดกล่องออก จัดวางให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
ทั้งยังลากเก้าอี้ออกให้
“ท่านประธาน เชิญนั่งค่ะ”
โห้หลีเฉินมองดูสายตาอันลึกซึ้งของเย้นหว่าน รีบเดินไปนั่ง
เย้นหว่านยืนอยู่ด้านข้าง มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง “อาหารพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ฉันชอบ อร่อยมากเลยนะคะ คุณลองทานดูว่าชอบหรือไม่?”
โห้หลีเฉินมองไปที่กล่องข้าวตรงหน้า กวาดสายตามองไปมา นี่เป็นสิ่งที่หล่อนชอบเหรอ?
จากนั้น เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหาร
แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่กล่องกับข้าววางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ แต่ด้วยความเป็นผู้ดีมีฐานะอย่างโห้หลีเฉิน เขายังคงทานด้วยท่าทางที่สง่างามสมฐานะ
เว่ยชียืนตัวเกร็งเหมือนท่อนไม้อยู่ด้านข้าง ตกใจตะลึงจนเก็บอาการไม่อยู่
ปกติแล้วท่านประธานเป็นคนเลือกทาน มักจะทานเพียงแค่อาหารจะเชฟชั้นเลิศ ไม่เคยทานอาหารหม้อเดียวกับคนอื่นเช่นนี้หรอก
เมื่อเห็นโห้หลีเฉินลองทานอาหารทุกอย่างแล้ว เย้นหว่านถามด้วยความตื่นเต้น
“เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“ไม่เลวเลย”
โห้หลีเฉินไม่ได้ฝืนใจพูดชม
ขณะเดียวกัน เขายังสังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเย้นหว่าน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เว่ยชีรู้สึกเจ็บช้ำ อาหารพิเศษที่ทำจากเชฟฝีมือชั้นเลิศ ยังไม่เคยได้รับคำชมเช่นนี้เลยสักครั้ง
ที่แท้ทานข้าวก็ต้องดูคนให้ด้วยใช่ไหม?
เว่ยชีมองไปที่อาหารบนรถเข็นด้วยความเจ็บช้ำใจ จากนั้นค่อยๆออกไปอย่างเงียบๆ ใช้ผ้าบางคลุมอาหารพวกนั้นไว้ และเข็นออกไปด้านนอก
โห้หลีเฉินทานข้าว เย้นหว่านเหมือนเป็นพนักงานเสิร์ฟที่คอยยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นเขาทานเสร็จ หล่อนรีบยื่นน้ำให้เขาหนึ่งแก้ว
“น้ำค่ะ ท่านประธาน”
เมื่อเห็นเย้นหว่านบริการอย่างกระฉับกระเฉงเช่นนี้ โห้หลีเฉินยิ้มออกทันที
เขาถือแก้วน้ำไว้ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เธออยากได้อะไร พูดมาเถอะ”
เย้นหว่านตกใจทำอะไรไม่ถูก โห้หลีเฉินฉลาด รู้ทันหล่อน แค่มองก็รู้ว่าในใจของเราหวังบางอย่างอยู่
หล่อนไม่อ้อมค้อม รีบนำเอกสารที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ยื่นให้โห้หลีเฉิน
“นี่เป็นผลงานของฉัน ยังไม่เคยแสดงที่ไหน แต่ฉันมั่นใจว่าความสามารถในการออกแบบของฉันทำได้ดีไม่แพ้ใครแน่นอนค่ะ”
นิ่งไปสักพัก หล่อนรวบรวมความกล้าพูดขึ้น “ดังนั้น ฉันหวังว่าคุณจะให้โอกาสฉันสักครั้ง ให้ฉันได้เข้าร่วมแข่งขันออกแบบชุดในเวทีOvi”
โห้หลีเฉินกลับไม่รู้สึกแปลกใจ เหมือนรู้เป้าหมายของหล่อนอยู่แล้ว
เขายื่นมือรับเอกสารจากหล่อน เปิดอ่านไปมา สายตากวาดมองไปเห็นภาพสวยงามมากมาย
ผลงานออกแบบพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงการออกแบบของหล่อนตั้งแต่เมื่อก่อน ไม่มีความเป็นทางการ แต่ในผลงานภาพวาดนี้กลับเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งจินตนาการ ถึงขั้นที่มีบางรูปสามารถนำไปวางขายได้เลยทีเดียว
หล่อนเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในเรื่องการออกแบบ เพียงแค่ขาดโอกาส ให้ทุกคนได้ชื่นชมผลงาน
เย้นหว่านกำหมัดแน่น มองไปที่โห้หลีเฉินด้วยความกระวนกระวายใจ อยากจะเดาใจเขาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ทว่าเขากลับไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา เพียงแค่ทำท่าทางวางตัวสูงส่ง
เมื่อเห็นว่าเขาเงียบไปนาน เย้นหว่านลังเลสักพัก ลองถามขึ้น
เมื่อคิดดูแล้ว แค่ขอบคุณคงไม่พอจริงด้วย เย้นหว่านพูดต่อ “ฉันเลี้ยงข้าวคุณ”
เลี้ยงข้าวอีกแล้ว ครั้งที่แล้วที่เขาช่วยหล่อนออกมาจากห้องน้ำกลางดึก หล่อนก็พูดว่าจะเลี้ยงข้าว
โห้หลีเฉินพูดด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อใจ “เธอยังค้างเลี้ยงข้าวฉันหนึ่งมื้อ”
เย้นหว่านหน้าแดงด้วยความเขินอาย พูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยว
“ครั้งนี้เลี้ยงแน่นอน คุณสะดวกเมื่อไหร่คะ?”
“คืนนี้”
เย้นหว่านตกใจ บังเอิญว่างตรงกันพอดี
หลังเลิกงาน เย้นหว่านออกมาจากห้องทำงานพร้อมกับโห้หลีเฉิน ใช้ลิฟต์ส่วนตัวของท่านประธานลงไปที่ลานจอดรถ
พวกเขายังไม่ทันเดินถึงรถ ก็หันไปเห็นฉินฉู่ใส่สูทอย่างเป็นทางการ นั่งอยู่ที่รถแลมโบกินีด้วยท่าทางสบาย
เมื่อเห็นโห้หลีเฉินกับเย้นหว่าน เขารู้สึกประหลาดใจ หัวเราะขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์
“ที่แท้พวกเธอก็อยู่ด้วยกัน รักกันจังเลยนะ ได้ไปเที่ยวด้วยกันพอดีเลย”
เย้นหว่านรู้สึกสงสัย หันไปถามโห้หลีเฉิน “คุณมีนัด?”
“เปล่า”
โห้หลีเฉินตอบด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ เดินตรงไปที่ประตูรถโดยไม่สนใจฉินฉู่แม้แต่น้อย “ไม่ต้องสนใจเขา”
เมื่อฉินฉู่ได้ยินเช่นนั้น ร้อนใจขึ้นมาทันที เดินตรงไปที่ประตูรถขวางโห้หลีเฉินไว้
“หลีเฉิน นายต้องช่วยฉันนะ ไม่ว่ายังไงนายต้องไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ให้ได้”
“ไม่ว่าง”
โห้หลีเฉินปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
ฉินฉู่ปวดหัว เรื่องไหนที่โห้หลีเฉินตัดสินใจแล้ว เขาไม่มีทางเปลี่ยนความคิดแน่นอน
แต่เรื่องคืนนี้ ถ้าโห้หลีเฉินไม่ไป เขาต้องซวยแน่นอน
ลังเลอยู่สักพัก สายตาอันเร่าร้อนของฉินฉู่มองตรงไปที่เย้นหว่าน จากนั้นเดินไปหาเย้นหว่านทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
อืดอาด มีเรื่องคู่นั้นคู่นี้แทรกมาตลอด แล้วยังออกทะเลไปไม่รู้กี่รอบ วนอยู่แต่กับความโง่ของนางเอกและความปิดปังเพราะรักของพระเอก เฮ้อ ทนอ่านมาเพราะอยากรู้ตอนจบ แต่หงุดหงิกมาก...
ฝึกฝนตัวเองหาทางช่วยสามีมันก็ดี แต่ถึงขนาดทิ้งลูกให้คนอื่นดูแลนี่ไม่ไหว เลี้ยงเด็กยังไงให้เป็นแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมเป็นภาระ ใช้ชีวิตโง่ ๆ มีศัตรูอยู่ แต่ไม่พาการ็ดไปด้วย พอลูกมีปัญหาที่รร. แทนที่จะเรียกสามี มาช่วยตั้งแต่แรก เสือกจะสู้เอง...
นางเอกอ้อนแอแถมโง่ แต่ก็ไม่ฟังพระเอก เสือกวิ่งไปวิ่งมาให้ถูกคนทำร้าย อ่านแล้วรำคาญ...
นางเอกโง่เง่าไม่มีการพัฒนา...
ทำไมไม่บอกพระเอกแล้วให้จัดการกับนังนั่น...
โอน่อหยาก็รู้นี่นาว่านางเอกเป็นคู่หมั้นประธาน ทำไมยังกล้าใส่ร้ายหรือแปลกใจว่านางเอกยังมีคนหนุน...
เนื้อเรื่องยืดยาวววน่าเบื่อมาก วนไปมาไม่เข้าเรื่องสักทีอ่านจนไม่อยากอ่านต่อน่าเบื่อเกิน ไม่เข้าเรื่องพระเอกกับนางเอกสักที วนอยู่ที่เดิมจนไม่น่าติดตามเพราะน่าเบื่อ...