บทที่ 435 งดงามเสียจนน่าตะลึง
เธอเดินไปหยุดที่เบื้องหน้าชายหนุ่ม ยื่นมือออกไปอย่างมีมารยาท
“ที่แท้ก็เป็นคนบ้านเดียวกัน ฉันเป็นเพื่อนสนิทของจื่อเฟย หลังจากนี้ฉันก็จะเรียกคุณว่าลูกพี่ลูกน้องเหมือนกับจื่อเฟย ดีไหมคะ”
รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า เธอไม่อยากเรียกเขาว่ากู้ซึงเท่าไร ชื่อนี้ฟังดูแล้วปลอมนัก
กู้ซึงยื่นมือออกไปจับมือกับเย้นหว่านอย่างเป็นสุภาพบุรุษ
เพียงแต่ว่านิ้วมือกลับกระชับแน่นขึ้นกะทันหัน จับมือเล็กๆของเสี่ยวหว่านเอาไว้ในมือ และดึงเธอให้เอนมาด้านหน้าเขาเล็กน้อย
เขาก้มหน้าเล็กน้อย เสียงทุ้มต่ำทว่าคลุมเครือ “คุณชอบ เรียกอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
น้ำเสียงที่ใช้จีบคนนั้น ทำให้หัวใจของเย้นหว่านเต้นเร็วขึ้นไปหลายจังหวะในเสี้ยววินาที
ผู้ชายคนนี้...........
เธอหน้าแดง สะบัดมือเขาออก แต่เหมือนมีดอกไม้บานในใจดอกหนึ่ง
เธอสามารถยืนยันได้ว่า เขาก็คือเขา
แม้จะไม่รู้ว่าใบหน้าที่ไม่เหมือนกันนั้นเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่เขาใช้วิธีการนี้กลับมาพบเธอ ก็ทำให้หัวใจที่ว่างเปล่าของเย้นหว่านนั้น ถูกเติมเต็มในทันที
ที่แท้ เขาก็ไม่เคยปล่อยเธอไป
เย้นโม่หลินมองการส่งสายตาไปมาระหว่างเย้นหว่านและกู้ซึงแล้ว ในใจก็รู้สึกหงุดหงิด ไม่สบายใจ
แม้ว่าเป้าหมายในวันนี้จะให้เย้นหว่านได้ทำความรู้จักกับชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยมมากขึ้น เพื่อให้เกิดความรู้สึกจุดประกายไฟลุกโชนเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่า ประกายไฟนี้จะถูกจุดขึ้นอย่างรวดเร็ว และรุนแรงขนาดนี้
นี่เพิ่งจะได้พบหน้ากันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง น้องสาวก็ดูเหมือนจะถูกคนหลอกเอาไปแล้ว
รายละเอียดเบื้องลึกของสถานะผู้ชายคนนี้ นิสัยเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
“งานเลี้ยงยังคงต้องดำเนินต่อไป พวกเราอยู่ที่นี่คงจะไม่ค่อยดีเท่าไร ออกไปกันก่อนเถอะ”
เย้นโม่หลินเอ่ยเสนอ พูดแล้วก็เดินไปทางเย้นหว่าน คิดจะดึงเย้นหว่านไป
แต่ตอนที่มือของเขาเพิ่งจะยื่นออกไป ก็มีมือเล็กข้างหนึ่ง วางลงที่กลางมือเขากะทันหัน
ความอ่อนนุ่มนั้นทำให้เย้นโม่หลินชะงักค้าง
กู้จื่อหลินยืนอยู่ด้านหน้าเขา เอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า “พี่เย้น พี่รับฉันมาที่นี่จากเมืองหนานแดนไกล ทำให้ฉันเหนื่อยแย่แล้ว คืนวันนี้ฉันก็ตั้งใจแต่งตัวเสียขนาดนี้ อย่างไร พี่ก็ต้องเชิญฉันไปเต้นรำด้วยสักเพลงนะ ถึงจะไม่ละอายใจต่อฉัน”
คำพูดนี้ พูดเสียราวกับว่าเย้นโม่หลินติดค้างน้ำใจเธอมากมายอย่างไรอย่างนั้น
เย้นโม่หลินมุมปากกระตุกเล็กน้อย เขาที่สติปัญญาเฉลียวฉลาดไม่เคยติดขัด เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของหญิงสาวแล้ว กลับหาคำพูดมาโต้กลับไม่ได้
เย้นหว่านอดที่จะชื่นชมกู้จื่อเฟยเงียบๆไม่ได้
เธอลากเย้นโม่หลินไปเต้นรำด้วยแบบนี้ ก็หมายความว่าสร้างโอกาสให้เธอกับกู้ซึงได้ทำความรู้จักกันเป็นการส่วนตัว
เธอยังมีสิ่งที่อยากจะพูดคุยกับกู้ซึงอีกมากมาย
กู้จื่อเฟยกะพริบตาปริบๆให้กับเย้นหว่าน เอ่ยยิ้มๆว่า
“เสี่ยวหว่าน ลูกพี่ลูกน้องของฉันเต้นรำได้ไม่เลวเลยนะ อย่างไรเธอก็ไม่มีปัญหา ไม่อย่างนั้น เธอมาเต้นรำกับลูกพี่ลูกน้องฉันสักเพลงไหม”
เต้นรำ กับเขาหรือ
เย้นหว่านมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ตื่นเต้นเล็กน้อย
สายตาของกู้ซึงจ้องมองมาทางเย้นหว่านตรงๆ ยื่นมือออกมาอย่างสง่างาม น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับสุภาพบุรุษ
“เฝ้ารอคอยเป็นอย่างมาก”
เย้นหว่านแก้มแดงระเรื่อ แต่ในใจกลับหวานล้ำ
เธอค่อยๆยกมือขึ้น วางมือเล็กลงกลางฝ่ามือเขา “ฉันเต้นไม่ดี คุณก็อย่ารังเกียจฉันล่ะ”
“ผมค่อยๆสอนคุณได้”
ชายหนุ่มยิ้ม จูงมือเล็กๆของเสี่ยวหว่าน เดินไปยังห้องโถงจัดเลี้ยงด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติมาก
เมื่อทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน บรรยากาศก็กลมเกลียวกันอย่างน่าประหลาดใจ เหมือนกับคู่รักที่รักกันมาเป็นเวลานาน
เย้นโม่หลินมองพวกเขาด้วยสายตาซับซ้อน คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่าง ถูกคนขโมยไปจนเหมือนกับว่าไม่ค่อยสบายใจ
เย้นเจิ้นจื๋อตกปากรับคำของภรรยา กวักมือเรียก ออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชาให้ไปตามหาคนทันที
ในตอนนี้เองที่ ภายในห้องโถงจัดงานเลี้ยง กลับมีเสียงร้องอย่างตกตะลึงออกมาเบาๆกะทันหัน
สายตาของผู้คนล้วนมองไปทางฟลอร์เต้นรำ
“ว้าว พวกเขาเต้นได้งดงามมากจริงๆ”
“พวกเขาเป็นใครกัน คู่รักหรือ เมื่อสองคู่นี้ปรากฏตัวขึ้น เสี้ยววินาทีก็ทำให้การเต้นรำของคนอื่นหมดสีสันไปทันทีอย่างเห็นได้ชัด”
“เสื้อผ้าของผู้หญิงคนนั้น ดูเหมือนกับเย้นหว่าน คุณหนูตระกูลเย้นที่เพิ่งเต้นรำเปิดงานไปเมื่อครู่นี้ไม่ใช่หรือ”
..................
เสียงพึมพำทอดถอนใจอย่างตกตะลึงและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดึงดูดความสนใจขึ้นมา
เย้นเจิ้นจื๋อและกงจืออวีหันไปมองในห้องโถงใหญ่ทันที เห็นเสี่ยวหว่านกับเย้นโม่หลิน แยกย้ายไปเต้นรำกับคู่เต้นรำของตัวเอง
เย้นโม่หลินกับหญิงสาวในชุดกระโปรงสีแดง เต้นกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน เต็มไปด้วยพละกำลัง เป็นที่จับตามองของผู้คน
ส่วนเสี่ยวหว่านและชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง กลับเต้นด้วยกันอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวลเล็กน้อย จังหวะการเต้นนั้นลื่นไหลราวกับสายน้ำ เจือไปด้วยความงดงามที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง ดื่มด่ำไปกับช่วงเวลานั้น
และระหว่างพวกเขา บรรยากาศที่เคลื่อนอยู่รอบตัวพวกเขา กลับเต็มไปด้วยความคลุมเครือสีชมพูที่ทำให้คนอิจฉาตาร้อน
เห็นพวกเขาแล้ว ก็เหมือนกับดูละครรักที่ไร้บทพูดเรื่องหนึ่ง ทำให้ผู้คนหวั่นไหว
กงจืออวีและเย้นเจิ้นจื๋อนั้นมองทั้งสองคู่นี้อย่างตกตะลึงยิ่งกว่า
เย้นเจิ้นจื๋อมองหญิงสาวที่เต้นรำกับเย้นโม่หลินครั้งแล้วครั้งเล่า สีหน้าแบบนั้น ไม่แตกต่างอะไรกับการที่เห็นเรื่องเหนือความคาดหมายเลย
“เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน อีกครู่หนึ่งจะต้องเรียกมาทำความรู้จักสักหน่อย หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเสี่ยวโม่เต้นรำกับผู้หญิง อีกทั้งยังสามารถร่วมมือกันเต้นรำได้อย่างสามัคคีด้วย”
ใบหน้าของเย้นเจิ้นจื๋อปรากฏรอยยิ้มปีติยินดีอย่างอดไม่อยู่ จู่ๆเขาก็รู้สึกว่า ลูกสะใภ้ที่หาได้ยากของเขานั้น ดูเหมือนว่าจะมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่สายตาของกงจืออวีกลับตกอยู่ที่ร่างของเย้นหว่าน แววตาคมปลาบมองพิจารณากู้ซึงตั้งแต่บนลงร่างอย่างละเอียดรอบคอบ
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน ก่อนหน้านี้เหมือนกับว่าไม่เคยพบมาก่อน เขาไปเต้นรำกับเสี่ยวหว่านได้อย่างไรกันคะ บรรยากาศระหว่างทั้งสองคน ดูแล้วไม่เหมือนกันอยู่บ้าง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
อืดอาด มีเรื่องคู่นั้นคู่นี้แทรกมาตลอด แล้วยังออกทะเลไปไม่รู้กี่รอบ วนอยู่แต่กับความโง่ของนางเอกและความปิดปังเพราะรักของพระเอก เฮ้อ ทนอ่านมาเพราะอยากรู้ตอนจบ แต่หงุดหงิกมาก...
ฝึกฝนตัวเองหาทางช่วยสามีมันก็ดี แต่ถึงขนาดทิ้งลูกให้คนอื่นดูแลนี่ไม่ไหว เลี้ยงเด็กยังไงให้เป็นแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมเป็นภาระ ใช้ชีวิตโง่ ๆ มีศัตรูอยู่ แต่ไม่พาการ็ดไปด้วย พอลูกมีปัญหาที่รร. แทนที่จะเรียกสามี มาช่วยตั้งแต่แรก เสือกจะสู้เอง...
นางเอกอ้อนแอแถมโง่ แต่ก็ไม่ฟังพระเอก เสือกวิ่งไปวิ่งมาให้ถูกคนทำร้าย อ่านแล้วรำคาญ...
นางเอกโง่เง่าไม่มีการพัฒนา...
ทำไมไม่บอกพระเอกแล้วให้จัดการกับนังนั่น...
โอน่อหยาก็รู้นี่นาว่านางเอกเป็นคู่หมั้นประธาน ทำไมยังกล้าใส่ร้ายหรือแปลกใจว่านางเอกยังมีคนหนุน...
เนื้อเรื่องยืดยาวววน่าเบื่อมาก วนไปมาไม่เข้าเรื่องสักทีอ่านจนไม่อยากอ่านต่อน่าเบื่อเกิน ไม่เข้าเรื่องพระเอกกับนางเอกสักที วนอยู่ที่เดิมจนไม่น่าติดตามเพราะน่าเบื่อ...