บทที่464 ถ้าเกิดว่านายช้าไปหนึ่งนาที
ถ้าเกิดว่าเป็นคนอื่น เขาคงถีบออกไปแล้ว
แต่ว่าอีกฝ่าย คือ……
ป่ายฉีเบิกตาโพลง ตกใจมาก “นายว่าไงนะ? เสี่ยวหว่านเป็นอะไรไป? ”
เขารีบเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของโห้หลีเฉิน เปิดเสื้อคลุมที่เปียกแล้วดู ก็เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดเหมือนผีของเย้นหว่าน
สีหน้าแบบนี้ ลมหายใจแบบนี้ แทบจะไม่ต่างจากคนตายแล้ว
ป่ายฉีสูดลมหายใจเข้า ยังไม่ทันจะถามว่าทำไมจู่ๆ เย้นหว่านถึงเป็นแบบนี้ได้ ก็รีบพูดว่า
“พาเธอมานี่! ”
เขารีบหันหลัง แล้วก็เดินไปยังห้องที่ไม่เตะตาเท่าไหร่นัก
จัดวางเหมือนกับหมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองหนาน ภายนอกดูไม่เตะตาเท่าไหร่ แต่ว่าพอเข้าไปแล้ว กลับเหมือนอยู่คนละโลกเลย
พร้อมเพรียงไปด้วยเครื่องมือชั้นสูง แถมยังมีเครื่องจักรที่ทันสมัยที่สร้างขึ้นมาเองโดยที่ไม่มีที่อื่นบนโลกใบนี้ อุปกรณ์ในห้องนี้ เทียบเท่าได้กับโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก
ในสถานการณ์แบบนี้ โห้หลีเฉินทำได้แค่ไว้ใจป่ายฉี
สถานการณ์ของเย้นหว่านนั้นอันตรายมาก แม้แต่ป่ายฉียังตกใจ เหงื่อยังซึมออกมาที่หน้าผาก แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นคนที่มีสภาวะทางอารมณ์โดดเด่นกว่าคนอื่น สามารถสงบได้อย่างรวดเร็ว เข้าสู่สถานการณ์การช่วยเหลือชีวิตอย่างจริงจัง
เครื่องมือหลายชิ้นถูกใช้บนร่างของเย้นหว่านพร้อมกัน ป่ายฉียุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าโห้หลีเฉินจะรู้เรื่องการแพทย์เพียงเล็กน้อย แต่ว่าตอนนั้นก็แค่โต้ตอบการที่เย้นหว่านได้รับบาดเจ็บอย่างกะทันหัน แล้วก็ทำแผล ดูแลเธอเท่านั้น แต่ไม่รู้ชัดเกี่ยวกับการรักษาของป่ายฉีในครั้งนี้
เขาไม่แม้แต่รู้ว่าตอนนี้อาการของเย้นหว่านเป็นยังไงบ้าง สรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ในใจของเขารีบร้อนจนลุกเป็นไฟ เม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น ตึงทั้งตัวจนเป็นเส้นตรง มองไปที่เย้นหว่านอย่างไม่กะพริบตา
ชุดนอนของเขายังมีน้ำหยดลงมาไม่หยุด ไม่นาน ที่ที่เขายืนอยู่ ก็กลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ
เวลา ผ่านไปเรื่อยๆ
ป่ายฉีใจจดใจจ่อ สมาธิแน่วแน่
ความทุกข์ของโห้หลีเฉินนั้นยาวนานมาก เหมือนกับว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเขา
ในที่สุด ป่ายฉีก็หยุด
โห้หลีเฉินสีหน้าดูรีบเร่ง เขาถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? ”
ป่ายฉีเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตัวเอง แล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ถ้าเกิดว่านายช้าไปหนึ่งนาที ฉันเองก็ช่วยเธอไว้ไม่ได้แล้ว”
เส้นประสาทที่คลึงตัวของโห้หลีเฉิน ในที่สุดก็คลายลง
ร่างที่สูงใหญ่ของเขาสั่น ถอยไปด้านหลังสองก้าว เกือบจะล้มลงไปแล้ว
คนที่ยิ่งใหญ่แบบเขา บนโลกใบนี้เรื่องที่อันตรายถึงชีวิตเขาก็เคยผ่านมาหมดแล้ว แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เหมือนครั้งนี้มาก่อน ทำให้เขากลัวจนวิญญาณแทบจะแตกสลาย
ผ่านไปนาน เขาถึงได้รู้สึกโล่งใจ แล้วก็เดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงของเย้นหว่าน
เขาเอ่ยปากถาม “เธอจะฟื้นเมื่อไหร่? ”
“ร่างกายของเธอได้รับความเสียหาย ฟื้นขึ้นมาก็น่าจะอ่อนแอมาก เร็วที่สุดก็น่าจะพรุ่งนี้ ช้าที่สุดก็น่าจะประมาณ2-3วัน”
ป่ายฉีพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ เขาเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า เย้นหว่านที่อาศัยอยู่ที่บ้านของตระกูลเย้น จะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดแบบนี้ได้
แสงสลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
หลังจากนั้น เขาก็พูดว่า “นายตัวเปียกขนาดนั้น เสี่ยวหว่านยังไม่ทันจะฟื้น นายก็อย่าพึ่งป่วยเอา ตรงนั้นมีเสื้อผ้าของฉันอยู่ ถ้าเกิดว่านายไม่รังเกียจ ก็ไปเปลี่ยนซะก่อน”
น้ำเสียงที่ป่ายฉีพูดกับโห้หลีเฉินนั้นอ่อนโยนลงมาก ไม่ว่าจะพูดยังไง ถ้าเกิดว่าเมื่อกี้โห้หลีเฉินพาเย้นหว่านมาส่งไม่ทัน ตอนนี้เกรงว่าเย้นหว่านจะไม่หายใจแล้ว
แล้วอีกอย่าง เขามองออกว่า โห้หลีเฉินนั้นแคร์เย้นหว่านจริงๆ
ครั้งนี้เย้นหว่าน โชคดีที่เธอไม่ได้รักผิดคน
ตอนนี้เอง เสียงที่ตื่นตระหนกของกงจืออวีก็ดังขึ้นมา หลังจากนั้น ก็เห็นเธอรีบวิ่งเข้ามาอย่างเร่งด่วน
ด้านหลังของเธอนั้น ก็คือเย้นเจิ้นจื๋อและเย้นโม่หลินที่มีสีหน้ารีบร้อนเหมือนกัน
ป่ายฉีประหลาดใจ พึ่งจะช่วยเย้นหว่านได้ ยังไม่ทันจะได้แจ้งพวกเขาเลย ทำไมพวกเขาถึงได้มาที่นี่รวดเร็วขนาดนี้?
พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเย้นโม่หลินที่สวมชุดสูทและรองเท้าหนัง เขาก็เข้าใจในทันที
เกรงว่าเย้นโม่หลินจะให้คนซุ่มดูกู้ซึงกับเย้นหว่าน ถ้าเกิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็ให้แจ้งเขาในทันที และเขายังไม่ทันจะได้พักผ่อน ก็ได้รับแจ้งว่าโห้หลีเฉินอุ้มเย้นหว่านฝ่าฝนมาหาเขา
“คุณนายวางใจเถอะครับ เสี่ยวหว่านไม่เป็นอะไรแล้ว” ป่ายฉีพยายามพูดให้กว้างที่สุด
ตอนนี้เย้นหว่านพ้นอันตรายแล้ว เขาเองก็ไม่อยากให้พวกเขาต้องตกใจเปล่าๆ
หัวใจที่เป็นกังวลของกงจืออวีก็ค่อยๆ คลายลง เธอรีบเดินไปที่ข้างเตียง แล้วก็มองไปยังใบหน้าที่ซีดเซียวของเย้นหว่านอย่างปวดใจ
ท่าทางน่าสงสารที่ไม่มีชีวิตชีวาแบบนั้น ทำให้เธอปวดใจเป็นอย่างมาก
แล้วก็มองกู้ซึงที่นั่งอยู่ข้างๆ เนื้อตัวเปียกปอนไปหมด ดูสภาพไม่น่าดู ทำให้รู้เลยว่าสถานการณ์ตอนนั้นมันรีบเร่งขนาดไหน
เธอมองไปที่ป่ายฉีด้วยสายตาที่คมกริบ “ทำไมจู่ๆ เสี่ยวหว่านถึงป่วยได้? ”
ป่ายฉีได้รับสายตาที่ทุกคนมองมา กะพริบตาเล็กน้อย เขารู้สึกเป็นกังวล
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ที่จริงก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเท่าไหร่ เพียงแค่ตอนที่เสี่ยวหว่านกินอาหารเย็นนั้น น่าจะกินกุ้งเยอะเกินไป ทำให้เกิดอาการแพ้แบบฉับพลันได้”
“แค่การแพ้เท่านั้นเหรอ? ”
โห้หลีเฉินหรี่ตา ดวงตาของเขามืดและคมกริบ
เพื่อที่จะเสแสร้งเป็นกู้ซึงให้แนบเนียน เขายังไปศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการแพ้ และยังทราบถึงอาการของโรคภูมิแพ้อีกด้วย ดูเหมือนว่าจะมีความแตกต่างกันอยู่ มันช้าแต่ก็รุนแรง แต่ว่ามันไม่ได้อันตรายถึงชีวิตเหมือนที่เย้นหว่านเป็นตอนนี้!
ป่ายฉีต้องไม่ได้พูดความจริง และปิดบังอะไรอย่างแน่นอน
แต่ว่า ทำไมเขาถึงต้องปิดบังด้วย?!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
อืดอาด มีเรื่องคู่นั้นคู่นี้แทรกมาตลอด แล้วยังออกทะเลไปไม่รู้กี่รอบ วนอยู่แต่กับความโง่ของนางเอกและความปิดปังเพราะรักของพระเอก เฮ้อ ทนอ่านมาเพราะอยากรู้ตอนจบ แต่หงุดหงิกมาก...
ฝึกฝนตัวเองหาทางช่วยสามีมันก็ดี แต่ถึงขนาดทิ้งลูกให้คนอื่นดูแลนี่ไม่ไหว เลี้ยงเด็กยังไงให้เป็นแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมเป็นภาระ ใช้ชีวิตโง่ ๆ มีศัตรูอยู่ แต่ไม่พาการ็ดไปด้วย พอลูกมีปัญหาที่รร. แทนที่จะเรียกสามี มาช่วยตั้งแต่แรก เสือกจะสู้เอง...
นางเอกอ้อนแอแถมโง่ แต่ก็ไม่ฟังพระเอก เสือกวิ่งไปวิ่งมาให้ถูกคนทำร้าย อ่านแล้วรำคาญ...
นางเอกโง่เง่าไม่มีการพัฒนา...
ทำไมไม่บอกพระเอกแล้วให้จัดการกับนังนั่น...
โอน่อหยาก็รู้นี่นาว่านางเอกเป็นคู่หมั้นประธาน ทำไมยังกล้าใส่ร้ายหรือแปลกใจว่านางเอกยังมีคนหนุน...
เนื้อเรื่องยืดยาวววน่าเบื่อมาก วนไปมาไม่เข้าเรื่องสักทีอ่านจนไม่อยากอ่านต่อน่าเบื่อเกิน ไม่เข้าเรื่องพระเอกกับนางเอกสักที วนอยู่ที่เดิมจนไม่น่าติดตามเพราะน่าเบื่อ...