สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 115

สวีจือย่วนเปลี่ยนสีหน้าในทันที นางรีบจัดการหน้าตาให้เรียบร้อย พร้อมเดินนวยนาดมายังประตูทางเข้า

“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!”

เย่จิ่งอวี้พูดเสียงอ่อนโยน “ลุกขึ้นเถิด”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

สวีจือย่วนไปยืนอยู่อีกด้าน และเชิญเย่จิ่งอวี้เข้าด้านในหอสุ่ยอวิ้น

“หานปิง ไปเปลี่ยนชาเหยือกใหม่ให้ฝ่าบาท”

เย่จิ่งอวี้นั่งลงบนเก้าอี้

ยิ้มอ่อนๆ และพูดขึ้น “ไม่ต้องมากพิธีหรอก ข้านั่งครู่เดียวก็จะไปแล้ว”

สวีจือย่วนขานตอบ ถามขึ้นอย่างหวาดกลัว “ไม่ทราบว่าอีกสักครู่ฝ่าบาทจะไปที่ใดเพคะ”

เย่จิ่งอวี้เวยหน้าขึ้นมอง ดวงตาจ้องมองสวีจือย่วนอย่างลึกซึ้ง

“หรือว่าเจ้ามีที่ที่อยากไป”

สวีจือย่วนรีบก้มหน้าลง

“หม่อมฉันมีที่ที่อยากไป ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตหรือไม่”

เย่จิ่งอวี้ถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าอยากไปที่ใด”

สวีจือย่วนกัดริมฝีบางพูดว่า “หม่อมฉัน... หม่อมฉันอยากไปหอสวดมนต์เพคะ”

เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“หอสวดมนต์เป็นที่สวดมนต์ของราชวงศ์ เจ้าไปที่นั่นทำไมกัน”

สวีจือย่วนกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น ปลายจมูกมีเหงื่อผุดขึ้นมา และพูดอย่างหวาดกลัวว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่าเมื่อเร็วๆ นี้เกิดภัยแล้งรุนแรง ทำให้ผู้คนไม่อาจดำรงชีวิตได้ มิหนำซ้ำยังมีโรคระบาดและฝูงตั๊กแตน หม่อมฉันกลับใช้ชีวิตอย่างสุขสงบอยู่ในวัง จึงรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ หม่อมฉันคิดอยากไปที่หอสวดมนต์เพื่อขอพรเผื่อชาวบ้าน ขอฝ่าบาทโปรดอนุญาตด้วยเพคะ”

เย่จิ่งอวี้มองนางสักพัก และถอนหายใจพูดขึ้น “ผู้ที่มีความคิดเยี่ยงเจ้าหาได้ยากยิ่ง ข้าจะไปด้วยกันกับเจ้า”

สวีจือย่วนคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความเลื่อมใสศรัทธาทันที

“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท”

เมื่อเห็นนิ้วมือที่สั่นคลอนเบาๆ ของนาง เย่จิ่งอวี้ส่ายหัวอย่างจำใจ

ในอดีตเด็กสาวตัวน้อยเป็นคนใจกว้างและร่าเริง สวีจือย่วนในวันนี้กลับขี้ขลาดดั่งลูกแมว เพียงเวลาที่ผันเปลี่ยน คนจะเปลี่ยนแปลงได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

“ลุกขึ้นเถิด”

เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ พูดกับหลี่เต๋อฝูที่เฝ้าหน้าประตูว่า “เคลื่อนขบวน ไปหอสวดมนต์”

สิบห้านาทีต่อมา คนกลุ่มใหญ่ก็เดินมาถึงหอสวดมนต์

ขันทีน้อยสองคนกำลังเติมน้ำมันตะเกียงอยู่ในหอ เมื่อเห็นฝ่าบาทก็คุกเข่าลงทันที

“พวกกระหม่อม ขอถวายบังคมฝ่าบาท”

เย่จิ่งอวี้กวาดสายตาผ่านไป และเห็นโกศอัฐิวางอยู่บนแท่นสูง

คิ้วแหลมขมวดขึ้นเบาๆ “พวกเจ้าออกไปให้หมด”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีน้อยสองคนก็ออกไปด้านนอกหอ ด้านในจึงเหลือเพียงเย่จิ่งอวี้และสวีจือย่วนสองคน

สวีจือย่วนก็เห็นโกศอัฐิประดิษฐานอยู่บนแท่นผ้าลื่นสีเหลือง

เมื่อนึกถึงคำพูดของเสี่ยวเสวียนจื่อ จึงเม้มกัดริมฝีปาก พลางถามว่า “นี่คือ...”

เย่จิ่งอวี้พูดตอบเสียงเบา “เป็นอัฐิของอินซื่อแห่งวังเย็น”

สวีจือย่วนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่นขึ้นเล็กน้อย

“หม่อมฉันได้ยินว่าฝ่าบาทและเจ้านายแห่งวังเย็น...”

นางมองดูสีหน้าของเย่จิ่งอวี้ ก็ถามขึ้นอีกครั้ง “ในเมื่อฝ่าบาทไม่โปรดปรานอินซื่อ เหตุใดยังคงเก็บอัฐิของนางไว้เพคะ”

เย่จิ่งอวี้สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย และพูดเสียงเบา “หากไม่มีเรื่องของตระกูลอิน อินซื่อจะมีตำแหน่งเป็นถึงฮองเฮา แม้ข้าไม่มีสถานะใดๆ ให้นาง แต่นางเรื่องที่นางแต่งกับข้านั้นเป็นความจริง ข้าจะหาฤกษ์งามยามดีเพื่อนำนางเข้าสุสานหลวง”

สวีจือย่วนตกใจเล็กน้อย พลางเงยหน้ามองเย่จิ่งอวี้ ในสายตาแฝงไปด้วยความตื่นตกใจ

“ฝ่าบาท... ทรงอยากให้อินซื่อเข้าสุสานหลวงจริงหรือเพคะ”

เย่จิ่งอวี้มองไปยังโกศอัฐินั้นด้วยสายตาราบเรียบ

ไทเฮากำลังหลับตาทำสมาธิ สาวใช้สองคนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นกำลังนวดให้นางอยู่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นในทันที

“อะไรนะ? ฝ่าบาทไปหอสวดมนต์งั้นหรือ? เขาอยู่ที่นั่นนานเท่าใด?”

ชุยไห่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคารพนบนอบ “เพียงแค่สิบห้านาทีพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ทรงกลับไปยังห้องหนังสือแล้ว นายหญิงสกุลสวียังคงสวดมนต์อยู่ด้านในพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาทำเสียงฮึดฮัด “สาวงามนางหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรไปขอพรที่หอสวดมนต์”

หรือว่านางมีแผนการอื่นใด?

หรือเดิมทีเย่จิ่งอวี้เป็นผู้ที่ส่งนางไป เพื่อตรวจสอบเรื่องของอินซื่อ?

เมื่อนึกถึงสีหน้าลึกลับซับซ้อนของผู้พิทักษ์เย่จิ่งอวี้ สีหน้าไทเฮาก็ซีดลง

หากไม่ใช่เพราะหวาดกลัวผู้พิทักษ์เหล่านั้น นางไม่มีทางให้อินชิงเสวียนไปต่อกลอนกับเย่จิ่งอวี้แน่

แม้ผลแพ้ชนะไม่เกี่ยวอะไรกับนาง แต่เมื่อมีความหวังก็ต้องคว้าเอาไว้

เมื่อนึกถึงกระดูกสองสามชิ้นในโกศที่สุ่มหยิบขึ้นมาจากสุสานร้างอีกครั้ง ในใจของไทเฮาก็ลนลานขึ้นมา

“พวกเจ้า ข้าจะไปหอสวดมนต์”

ขณะนั้นสวีจือย่วนกำลังจุดธูปกราบไว้อยู่ใน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยศรัทธา

หานปิงมองนายหญิงอยู่ด้านหลัง สายตาเป็นกังวลเล็กน้อย

หลังจากไหว้บูชาแล้ว สวีจือย่วนก็ส่งสัญญาณให้หานปิง

หานปิงหยักหน้ารับ พลางหยิบเงินหยวนเป่าสองชิ้นออกมาจากชายแขนเสื้อทันที นางเดินไปด้านหน้าขันทีสองคนและพูด “นี่คือน้ำใจจากนายหญิงของพวกข้า เชิญท่านขันทีทั้งสองไปข้างนอกตามสะดวก ให้นายหญิงของพวกข้าได้นิ่งสงบที่นี่ครู่หนึ่ง เพื่อขอพรให้แก่ประชาชน”

ทั้งสองเหลือบมองหน้ากันและพูดขึ้น “เช่นนั้นก็รีบหน่อย ไทเฮาเคยบัญชาไว้ว่า ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้หอสวดมนต์ พวกข้าให้เกียรติพวกเจ้า และขอให้นายหญิงเข้าใจด้วย อย่าให้ผู้ใดมาเอาเรื่องพวกข้าได้”

หานปิงยิ้มและพูดขึ้น “เป็นดังนั้นแน่นอน ขันทีทั้งสองสบายใจได้เลย อีกสักครู่พวกเราก็จะไปแล้ว”

ทั้งสองตอบรับและปิดประตูลง

สวีจือย่วนหันกลับมามอง และรีบลุกขึ้นในทันที เร่งฝีเท้าตรงไปยังโกศอัฐินั้น

นางกัดฟันกรอด พร้อมกับเปิดฝาโกศออก

ขณะกำลังหยิบอัฐิด้านใน ก็ได้ยินเสียงตะโกนจากด้านนอก “ไทเฮาเสด็จ คุกเข่ารับเสด็จ!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์