เมื่ออินชิงเสวียนกลับมาถึงที่พัก เย่จิ่งอวี้สองอาหลานกำลังคุยกันอยู่ ในขณะที่อินหลีกำลังนั่งเล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ข้างๆ
เมื่อมองดูฉากที่กลมเกลียวกันอย่างยิ่งนี้ อินชิงเสวียนก็มั่นใจมากขึ้นว่านี่คือชีวิตที่นางต้องการ
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยมีความทะเยอทะยานมากนัก ไม่ได้คิดว่าจะมีอำนาจมากมาย หรือต้องมีเงินตรามากน้อยเพียงใด
ทัศนคติต่อชีวิตของอินชิงเสวียนนั้นเรียบง่ายมาโดยตลอด ได้พบผู้ชายที่รักนาง มีลูกที่น่ารัก และมีครอบครัวที่อบอุ่นก็เพียงพอแล้ว
บางทีสวรรค์อาจได้ยินความคิดของนางจริงๆ และตอบสนองความปรารถนาทั้งหมด ไม่เพียงแต่ประทานสามีที่หล่อเหลาเอาใจใส่เท่านั้น แต่ยังประทานลูกที่น่ารักร่าเริงมาให้นางด้วย
ความรักที่นางมีต่อเย่จิ่งอวี้ ไม่ใช้เพราะสถานะฮ่องเต้ของเขา แต่เป็นการสนับสนุนและความเอาใจใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเขา ที่ค่อยๆ ทำให้หัวใจของอินชิงเสวียนหวั่นไหว
ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนนี้ ย่อมแข็งแกร่งกว่าการตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นเสมอ นี่คือความรักแบบที่นางต้องการ ไว้ใจซึ่งกันและกัน ไม่เคลือบแคลงสงสัยซึ่งกันและกัน
“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว อาการบาดเจ็บของเจ้าตำหนักเหมยเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เย่จิ่งอวี้ก็หันกลับมา
“นางอาการดีขึ้นแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้ารู้ไหมว่านักฆ่าเป็นใคร”
เย่จิ่งอวี้ถามอย่างใส่ใจ
ยึดตามหลักชาวบ้านแล้ว เหมยชิงเกอก็เป็นแม่ยายของเขา จึงต้องใส่ใจแล้ว
“เป็นลูกชายของผู้อาวุโสหัน ชื่อว่าหันเจิงหมิง เขาวิปลาสไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าวิ่งหายไปไหนแล้ว”
เย่จั้นถามว่า “เขาลอบสังหารผู้อาวุโสเหมย เพราะเขาต้องการล้างแค้นผู้อาวุโสหันงั้นหรือ”
“ไม่ทั้งหมด เรื่องนี้มีบางอย่างซ่อนอยู่ในนี้ หันเจิงหมิงนี่ก็โง่เขลาจริงๆ”
เมื่อได้ยินอินชิงเสวียนพูดเช่นนี้ สองอาหลานก็มองหน้ากัน ต่างก็เข้าใจกันโดยดุษณี
เย่จั้นไอแค่กๆ และพูดว่า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ตอนนี้เจ้าตำหนักเหมยได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักเทพอย่างเป็นทางการแล้ว บนเขาก็ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรอีก ข้าและอินหลีก็ไม่ใช่ชาวยุทธ์พเนจร ก็ควรลงเขาได้แล้ว”
เขาเหลือบมองเย่จิ่งอวี้แล้วพูดว่า “เกรงว่าฮ่องเต้และฮองเฮาจะต้องรอสองวันก่อนจึงจะลงจากภูเขาได้ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นในเมืองหลวง ข้าตัดสินใจพาแม่นางอินกลับก่อน “
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและกล่าวว่า “ดี ต้องรบกวนเสด็จอาแล้ว”
“นี่คือสิ่งที่กระหม่อมสมควรทำ เช่นนั้นต้องขอลาก่อน”
เย่จั้นอุ้มเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลง ทำความเคารพเยี่ยงขุนนางและฮ่องเต้อย่างเต็มพิธีการ
เย่จิ่งอวี้ช่วยประคองเย่จั้นขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง นัยน์ตาฉายแววไม่เต็มใจเล็กน้อย
“ขอให้เสด็จอาและแม่นางอินเดินทางปลอดภัย ข้าได้ส่งจดหมายถึงเจวี๋ยอิ่งแล้ว ให้เขานำกองกำลังบางส่วนคุ้มกันเสด็จอากลับเมืองหลวง”
เย่จั้นไม่ปฏิเสธ ถึงอย่างไรก็ยังมีอินหลีผู้ไม่รู้วรยุทธ์อยู่ด้วย หากมีการปกป้องมากขึ้น ย่อมทำให้นางรู้สึกสบายใจกว่า
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
อินหลีกลับมองไปที่อินชิงเสวียน นับตั้งแต่รู้นางเป็นหลานสาวของตัวเอง ในใจของนางก็รู้สึกไม่เต็มใจที่จะแยกจากเช่นกัน ยิ่งกับเสี่ยวหนานเฟิงแล้ว อินหลียิ่งรู้สึกชื่นชอบยิ่งนัก
ถ้าเป็นไปได้อินหลี อยากจะอยู่กับพวกเขาต่อไปอีกสักสองสามวัน
เป็นเพียงว่าสิ่งต่างๆ มีลำดับความสำคัญ อินหลีเกิดในตระกูลแม่ทัพ ย่อมรู้ดีว่าบ้านเมืองไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากกษัตริย์ อีกทั้งพี่ชายกำลังปกป้องเมืองหลวงอยู่ หากมีอะไรเกิดขึ้น ตระกูลอินก็ไม่สามารถรับผิดชอบไหว
นางก้าวไปข้างหน้า จับมือของอินชิงเสวียน แล้วพูดอย่างอ่อนโยน “แม้ว่าเจ้าจะมีทักษะวรยุทธ์สูงส่ง แต่ก็ห้ามทำอะไรวู่วาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องดูแลตัวเองให้ดี อาหญิงจะรอเจ้ากลับมาที่เมืองหลวง”
เมื่อมองดูใบหน้าที่ค่อนข้างคล้ายกับตัวเอง อินชิงเสวียนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ
“ท่านอาหญิงไม่ต้องห่วง ตราบใดที่อาอวี้ยังอยู่ที่นี่ เขาจะไม่ยอมให้ข้าเป็นอะไรไปอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว รบกวนฝ่าบาทแล้ว”
เสี่ยวหนานเฟิงกล่าวทันที “เด็จพ่อก็เคียงคู่กับลูกสิ เด็จพ่อรีบสอนให้ลูกเหาะเถอะนะ แบบนี้ลูกจะได้เหาะสูงๆ เท่านกเหมือนเด็จพ่อ”
อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ จับมือเล็กป้อมของเสี่ยวหนานเฟิง แล้วถามว่า “ทำไมเจ้าถึงอยากเหาะสูงๆ ล่ะ”
เสี่ยวหนานเฟิงกะพริบตาสีดำโต คิดอยู่นาน จากนั้นพูดด้วยเสียงนุ่มนิ่มเบาๆ “เล่นว่าว”
เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกขันกับคำพูดของลูกชายเหมือนกัน โลกของเด็กนั้นเต็มไปด้วยสีสัน เข้าใจได้ยาก แต่ก็เต็มไปด้วยความสนใจและจินตนาการแบบเด็กๆ เช่นกัน
“ได้ ถ้าพ่อมีเวลา จะสอนให้จ้าวเอ๋อร์เหาะนะ”
“จริงหรือ”
เสี่ยวหนานเฟิงดูตื่นเต้น
เย่จิ่งอวี้จูบหน้าผากของลูกชาย พูดเสียงนุ่ม “เด็จพ่อจะโกหกเจ้าได้อย่างไร”
เสี่ยวหนานเฟิงยื่นนิ้วก้อยออกมาทันที พูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาแบบเด็กๆ “เกี่ยวก้อยสัญญา ใครผิดสัญญา คนนั้นเป็นหมาใหญ่”
เย่จิ่งอวี้ยิ้มและยื่นมือออกไปเกี่ยวก้อยกับลูกชายด้วยท่าทางจริงจัง หันกลับมาแล้วถามว่า “ทำไมถึงไม่เห็นไป๋เสวี่ยเจ้าเดรัจฉานไร้ใจนั่นเลยล่ะ”
อินชิงเสวียนกล่าวว่า “เจ้าสุนัขตัวนี้ชอบเตร็ดเตร่มา สองสามวันถึงจะกลับมาที คิดว่าบนเขาคงมีสุนัขป่าอยู่มาก มันจึงวิ่งออกไปเล่น”
“ช่างเถอะ มันอุตส่าห์ได้มีที่วิ่งเล่นกว้างๆ ทั้งที ปล่อยมันไปเถอะ ไว้ตอนที่เรากลับ ค่อยไปหามันก็ได้”
“อื้ม งั้นเรากลับที่พักกันเถอะ”
ไม่เห็นเงาของเย่จั้นและอินหลีนานแล้ว คู่สามีภรรยาจึงกลับไปที่ห้องหินพร้อมกับลูกของพวกเขา
อินชิงเสวียนอุ้มหม้อและเตาออกมา จากนั้นครอบครัวทั้งสามก็รับประทานอาหารเย็นแสนอร่อยก่อนที่จะส่งเสี่ยวหนานเฟิงเข้าไปพักผ่อนในมิติ
“ถ้าอาอวี้ยังไม่เหนื่อย ก็วาดรูปเหมือนของจิ่งหลานเถอะ ถ้าหาเขาไม่เจอ ข้ายังรู้สึกค้างคาใจ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...