“ที่นี่แหละ”
อินชิงเสวียนชี้ไปที่ด้านข้างของภูเขา แล้วกระซิบ
สถานที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากลำธารที่นางได้พบกับอินหลี นางค้นพบสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญ อย่างไรก็ตามหน้าผาค่อนข้างสูงชัน อาจต้องใช้ความพยายามพอสมควรถึงจะปีนขึ้นได้
เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นมองและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีปัญหา ขึ้นหลังข้าสิ”
“นี่...ได้จริงๆ หรือ”
อินชิงเสวียนถามอย่างไม่แน่ใจ
หน้าผาเกือบจะเป็นเส้นตรง ที่ให้ปีนป่ายก็ไม่มีมากนัก
“งั้นเอาแบบนี้ ข้าขึ้นหลังอาอวี้ก่อน แล้วเข้าไปในมิติ แบบนี้ก็ไม่ต้องหนักแล้ว หลังจากอาอวี้ถึงยอดเขาแล้ว ข้าค่อยออกมา”
“ไม่ลำบากขนาดนั้น ข้ายังมีความมั่นใจอยู่บ้าง มาเถอะ”
เย่จิ่งอวี้ย่อตัวลงเล็กน้อย อินชิงเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ปีนขึ้นไปบนหลังของเขา
“เข้าที่แล้วนะ”
เย่จิ่งอวี้ดึงพลังลมปราณขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดขึ้นไปหนึ่งจั้ง มือทั้งสองยึดข้างจับแง่หิน จากนั้นก็เหนี่ยวกายปีนขึ้นไปอีกหลายเมตร
คนทั้งคนดูเบาราวกับปุยนุ่น เหมือนไร้น้ำหนัก
อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะจุ๊ปากด้วยความประหลาดใจ
บางทีนางอาจจะทำได้ แต่ก็ไม่กล้าลองทำง่ายๆ ลำพังแค่ความสูงเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้นางกลัว
เมื่อมองย้อนกลับไป มองไม่เห็นก้นบึ้ง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวิงเวียนศีรษะ จึงรีบกอดคอของเย่จิ่งอวี้อย่างเชื่อฟัง
เมื่อรู้สึกถึงแรงที่คอ เย่จิ่งอวี้จึงหัวเราะเบาๆ
“ถ้ากลัวก็เข้าไปอยู่ในมิติ”
อินชิงเสวียนส่ายหัว แล้วพูดกระซิบข้างหูของเขา “ไม่เอา ข้าอยากอยู่กับอาอวี้”
หากเผชิญกับอันตรายใดจริงๆ นางก็ยังสามารถช่วยได้
เย่จิ่งอวี้เข้าใจความคิดของนาง เขารู้สึกอบอุ่นในใจ ก้าวขาเหยียบแง่หิน แล้วเหนี่ยวตัวลอยขึ้นไปหลายจั้ง
ในเวลาเพียงสิบอึดใจ ทั้งสองก็มาถึงยอดผา
อินชิงเสวียนยกนิ้วให้เย่จิ่งอวี้ และพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “อาอวี้ยอดเยี่ยมมาก!”
เย่จิ่งอวี้โค้งคำนับ พูดด้วยน้ำเสียงลากยาว “ขอบคุณเมียข้าที่ชมเชย”
อินชิงเสวียนตบมือของเขา แล้วพูดเบาๆ “หยุดกวนได้แล้ว ธุระสำคัญกว่า”
เย่จิ่งอวี้รีบหุบยิ้มทันที ถามอย่างจริงจัง “เสวียนเอ๋อร์รู้ไหมว่าฉางเฮิ่นเทียนพักอยู่ที่ไหน”
“น่าจะทางนั้น”
เย่จิ่งอวี้ชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
“ถ้าเจอแล้วจะทำอย่างไรต่อ ถามตรงๆ เขาจะบอกไหม”
อินชิงเสวียนเม้มริมฝีปาก แม้ว่ารูปลักษณ์ของฉางเฮิ่นเทียนจะดูซื่อสัตย์จริงใจ แต่ประกายวาววับในดวงตาเป็นครั้งคราวนั้น ก็พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา
“แน่นอนไม่ได้ เกรงว่าต้องขอความช่วยเหลือจากอาอวี้สักหน่อย”
เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “จะทำอย่างไร”
“ข้าใช้ทักษะช่วงชิงโชคลาภแล้วได้วิชาเนตรมาจากโมริตะคาวาสึบาเมะ จากนั้นข้าก็เคยใช้วิชาเนตรกับฉางเฮิ่นเทียนครั้งหนึ่ง แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ต่อมาข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ด้วยวรยุทธ์ที่ต่ำเพียงนั้นของเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดกั้นวิชาเนตรของข้าได้ ถ้าไม่ใช่เพราะแกล้งทำเป็นหมูกินเสือ เช่นนั้นก็คงเป็นเพราะสาเหตุอื่น หรือทักษะของข้ายังไม่เก่งกาจเพียงพอ จึงไม่สามารถใช้งานวิชาเนตรได้จนถึงขีดสุด หากเราสองคนร่วมมือกัน อาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด”
“ข้าเข้าใจแล้ว วรยุทธ์ของข้าบางส่วนก็มาจากม้วนภาพของชาวตงหลิว เจ้าและข้ามีต้นกำเนิดเดียวกัน เช่นนั้นก็สามารถลองดูได้”
อินชิงเสวียนพยักหน้า จั้นนั้นก็ถูกเย่จิ่งอวี้อุ้มขึ้นมา แล้วเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เย่จิ่งอวี้ได้หยุดอยู่ที่ด้านหน้าเนินเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง
“ที่นี่?”
เขาถามด้วยเสียงแผ่วเบา
อินชิงเสวียนตรวจสอบดู แล้วพูดว่า “คงจะใช่ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นห้องไหน”
“งั้นไปดูที่ต่ำก่อน”
เย่จิ่งอวี้ค่อยๆ ยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้น ผลักไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เหมือนกับไท่เก๊กของผู้สูงอายุ
อินชิงเสวียนพิศวงงุนงง เย่จิ่งอวี้กำลังทำอะไร ไม่รู้สึกถึงเสียงรบกวนใดๆ เลย
เมื่อได้ยินชื่อนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกประหลาดใจ
ผู้อาวุโสฉี?
หรือว่าฉีอวิ๋นจื่อกลับมาแล้ว?
ผู้หญิงคนนั้นถามนิ่งๆ “เจ้ามาจากอิ๋นเฉิงจริงๆ หรือ”
ฉางเฮิ่นเทียนกล่าวว่า “ผู้เยาว์ไม่กล้าหลอกลวงผู้อาวุโส ผู้เยาว์มาจากอิ๋นเฉิงจริงๆ ผู้เยาว์เคยมอบตำราวรยุทธ์ของอิ๋นเฉิงให้กับผู้อาวุโสฉุย หากผู้อาวุโสฉีไม่เชื่อ สามารถไปยืนยันส่วนตัวได้”
ฉีอวิ๋นจื่อมองดูเขาอย่างเคลือบแคลงสงสัย
“ทำไมเจ้าถึงมีตำราวรยุทธ์ของอิ๋นเฉิง ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นแค่คนครัว?”
ฉางเฮิ่นเทียนใช้วาทศิลป์แบบเดียวกับที่หลอกลวงผู้คนมากมาย
“กงซวินฮูหยินดีต่อข้าน้อยมาก แต่ต่อมาด้วยเหตุผลบางประการ นิสัยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ข้าน้อยทนถูกทารุณกรรมไม่ได้ จึงหนีออกจากอิ๋นเฉิง”
ฉีอวิ๋นจื่อแค่นเสียงหึและพูดว่า “กงซวินอวิ๋นเฟิ่งไม่ใช่คนใจแคบชอบทำร้ายผู้อื่นเลย เจ้าเป็นใครกันแน่”
รูม่านต่าของฉางเฮิ่นเทียนหดลงพลัน
“หรือว่าผู้อาวุโสรู้จักกงซวินอวิ๋นเฟิ่ง?”
ทันใดนั้นฉีอวิ๋นจื่อก็ยื่นสองนิ้วออกมา แล้วแตะที่คอของฉางเฮิ่นเทียน
“มากกว่าแค่คนรู้จัก ข้าคุ้นเคยกับนางมาก เจ้าเป็นใครจากอิ๋นเฉิงกันแน่ ถ้าวันนี้เจ้าไม่พูดให้ชัดเจน วันนี้ปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า”
ฉางเฮิ่นเทียนเงยหน้าขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“ฉีอวิ๋นจื่อ เจ้าให้ข้าเก็บความลับหน่อยไม่ได้หรือ”
เมื่อได้ยินการเปลี่ยนแปลงของน้ำเสียงของเขา สีหน้าของฉีอวิ๋นจื่อก็มืดลง
“เจ้าเป็นใครกันแน่”
ฉางเฮิ่นเทียนผลักมือของนางออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าเคยได้ยินชื่อตู้เยี่ยนบ้างหรือไม่”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนก็ตกใจพร้อมกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...