สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 1220

หวังซุ่นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ

“นายท่าน หรือว่าท่านเห็นผีจริงๆ?”

เมื่อเห็นเย่จิ่งหลานตื่นตระหนกขนาดนี้ ใบหน้าของหวังซุ่นก็ซีดลงทันที

“หุบปาก”

เย่จิ่งหลานหิ้วร่างเขาออกจากค่ายกลอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หายตัวเข้าไปในมิติ

ชิงผิงและชิงอานกำลังรับประทานอาหารมื้อดึกอยู่

อินชิงเสวียนตั้งใจทิ้งอาหารมังสวิรัติไว้มากมาย เย่จิ่งหลานก็ไม่ได้มีข้อจำกัดไม่ให้พวกเขากิน

พวกเขาทั้งสองกินล่าเถียว หมึกเจปรุงรสหมาล่า ถั่วลิสงห้าเครื่องเทศ และชาเย็นสองถ้วย ท่าทางของพวกเขาดูผ่อนคลายและพอใจมาก

โดยทั่วไปผู้บำเพ็ญสำนักเต๋าจะสงบได้ทุกสถานการณ์ สามารถฝึกบำเพ็ญเพียรได้ทุกที่ อีกทั้งสถานที่นี้ไม่เย็นหรือร้อน และมีอาหารมังสวิรัติหลากหลาย ทั้งสองคนอยู่ที่นี่จึงรู้สึกสบายใจมาก พวกเขาไม่มองเย่จิ่งหลานเป็นศัตรูอีกแล้ว

เมื่อเห็นคนสองคนเข้ามาในมิติด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ชิงผิงจึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

เย่จิ่งหลานถอนหายใจ

“เห็นผีน่ะสิ ข้าได้ยินเสียงหินเน่านั่นพูดจริงๆ ในโลกนี้มีผีด้วยงั้นหรือ”

ชิงอานยิ้มแล้วพูดว่า “โลกใหญ่ไพศาล ไร้พิสดารไม่มี ในเมื่อผู้คนเชื่อว่ามีเทพเจ้า เช่นนั้นก็ต้องมีผี”

เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา

“ในเมื่อพวกท่านเป็นนักพรตเต๋า จับผีไม่เป็นหรือ”

ชิงผิงกล่าวว่า “นั่นคือศาสตร์ของนิกายเหมาซาน สิ่งที่เราบำเพ็ญภาวนาคือจิตใจ หาใช่การจับผีไม่”

เย่จิ่งหลานพ่นลมหายใจออก นั่งบนเก้าอี้นวมยาว ล้วงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า จุดบุหรี่แล้วอารมณ์ของเขาสงบลงเล็กน้อย

“ที่นี่ก็มีนิกายเหมาซานด้วยหรือ”

ชิงอานกล่าวว่า “ใช่ แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรา”

“แล้วที่พวกท่านพูดถึงชาดแห่งบาปอะไรนั่นล่ะ”

แม้ว่าทั้งสองคนจะขจัดความเป็นศัตรูต่อเย่จิ่งหลานแล้ว แต่ช่วงนี้เย่จิ่งหลานก็ยังยุ่งเกินไป ไม่มีเวลาซักถามอย่างละเอียด

เป็นเรื่องยากที่ทุกคนจะสงบและเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างถ่องแท้

ชิงผิงกัดล่าเถียวแล้วพูดว่า “ตามชื่อเลย บาปก็คือการสร้างกรรมชั่ว ชาดหมายถึงสีแดง ซึ่งหมายความว่า ไฝสีแดงระหว่างคิ้วของเจ้านั้นเป็นร่องรอยของสร้างกรรมชั่ว”

ดวงตาของเย่จิ่งหลานเบิกกว้าง

“ท่านว่าใครก่อกรรมชั่ว”

ชิงผิงพูดอย่างใจเย็น “คุณชายไม่ต้องกังวล นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าพูด แต่ศิลาตอบสวรรค์พูด”

เย่จิ่งหลานตบที่วางแขนบนเก้าอี้นวมยาว แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “คร่ำครึ พวกท่านอยากจะเชื่อก้อนหินเส็งเคร็ง นั่น แต่ไม่ยอมเชื่อข้า ก้อนหินนั้นไม่มีชีวิต คนยังมีชีวิต มันจะไม่มีอะไรผิดพลาดเลยหรือ”

ชิงอานรีบพูดว่า “ขอสุขสถาพรสถิตชั่วนิรันดร์ ศิลาตอบสวรรค์ไม่เคยมีข้อผิดพลาดใดๆ เลย”

เย่จิ่งหลานแค่นเสียงหึ

“ตอนนี้ก็ผิดพลาดแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร ข้าเป็นตัวอย่างที่มีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะทะเลาะกันอีกครั้ง หวังซุ่นก็รีบพูดว่า “ใจเย็นๆ ทุกคนใจเย็นก่อน ข้าแค่อยากจะถาม จุดสีแดงระหว่างคิ้วมีผลสืบเนื่องอะไรหรือไม่”

นับตั้งแต่ออกจากตงหลิว หวังซุ่นมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าอารมณ์ของเย่จิ่งหลานดูใจร้อนขึ้น แผ่รังสีอำมหิตออกมาจากตัวอยู่บ่อยครั้ง นั้นคนที่ฆ่าชาวยุทธ์หน้าโง่ทั้งสามที่หาเรื่องเฉิงเฟิ่งโหลวที่หน้าโรงเตี๊ยมในวันนั้น ถูกเย่จิ่งหลานสังหารทั้งหมด

ในยุทธภพ การฆ่าคนไม่กี่คนนั้นไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่การกระทำของเย่จิ่งหลานนั้นสะอาดสะอ้านและเรียบร้อยเกินไป ราวกับว่าเขาเป็นทหารผ่านศึกที่มีประสบการณ์โชกโชน หวังซุ่นที่เห็นเช่นนั้นก็หวาดผวา รู้สึกว่าสายตาเผ็ดร้อนคู่นั้น แตกต่างจากเด็กหนุ่มที่ชอบล้อเล่นคนก่อนมากจริงๆ

นักพรตเต๋าทั้งสองมองหน้ากัน และส่ายหัวพร้อมกัน

“เรื่องนี้เราไม่ทราบจริงๆ”

“แม่ง!”

หวังซุ่นอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วกลางขึ้นมา

“แล้วพวกท่านรู้อะไรบ้าง”

ชิงอานชี้ไปที่เย่จิ่งหลานแล้วพูดว่า “เรารู้ว่าเขาทำผิด อ้อจริงสิ ดูเหมือนอาจารย์จะบอกว่า คนที่มีชาดแห่งบาปจะมีนิสัยชอบเข่นฆ่า”

“ชอบเข่นฆ่า?”

เย่จิ่งหลานเลิกคิ้วขึ้น

“ข้าเป็นแบบนั้นหรือ”

แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่หวังซุ่นก็ไม่กล้าพูด

“เปล่าเลย นายท่านจิตใจดีมีเมตตา จะไม่มีวันกลายเป็นปีศาจร้ายที่ชอบฆ่าสังหารผู้คนเด็ดขาด”

ในช่วงเวลาแห่งความเงียบงันนี้ ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งกำลังเดินดุ่มๆ ผ่านป่า แสงจันทร์กลืนหายไปกับก้อนเมฆอย่างรวดเร็ว เมื่อท้องฟ้ามืด ก็ได้ยินเสียงที่หน้าประตูภูเขาของตำหนักเทพ

“รบกวนพี่ชายน้อยทุกคนช่วยแจ้งให้ทราบได้หรือไม่ บอกว่าเฮ่อยวนจากเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงมาขอเข้าพบ”

ศิษย์หลายคนที่เฝ้าประตูภูเขาต่างก็ง่วงเหงาหาวนอน จนกระทั่งเฮ่อยวนพูดขึ้น พวกเขาก็ตื่นขึ้นทันที

“ใคร ท่านบอกว่าท่านเป็นใครนะ”

เฮ่อยวนประกบมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าคือเจ้าเมืองแห่งเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง เฮ่อยวน”

ทุกคนตกใจ ชักกระบี่ออกมาด้วยเสียงดังกราว

ศิษย์คนหนึ่งกล้าตะโกนว่า “คนบังอาจ กล้าดีอย่างไรบุกเข้ามาในตำหนักเทพ ถ้าฉลาดก็รีบถอยออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าเราไร้ความกรุณา”

เฮ่อยวนถอยหลังไปสองก้าว

“เฮ่อยวนมาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมเยียนเจ้าตำหนักเหมย หวังว่าทุกคนจะอำนวยความสะดวกให้ด้วย”

ลูกศิษย์อีกคนพูดอย่างกล้าหาญว่า “เจ้าตำหนักเหมยพักผ่อนไปแล้ว ไม่มีเวลามาพบท่าน”

ระหว่างทางมาที่นี่ จิตใจของเฮ่อยวนค่อยๆ สงบลงลงแล้ว เขายังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคำพูดของอินชิงเสวียนอยู่อีกเล็กน้อย

อาศัยแค่คำพูดฝ่ายเดียวของนางก็ยอมรับความเป็นพ่อลูกแล้วนั้น ออกจะเร็วไปสักหน่อย อีกอย่างเหมยชิงเกอยังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือไม่

เป็นไปได้ไหมที่ตำหนักเทพคิดกลอุบายบางอย่าง เพื่อจัดการกับเขา?

เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกศิษย์พูด ก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุข

เหมยชิงเกอยังมีชีวิตอยู่จริงๆ?

จิตใจที่สงบแต่เดิม พลันรู้สึกเร่งด่วนอีกครั้ง

“วันนี้ข้าต้องได้พบเจ้าตำหนักเหมย ถ้าพวกเจ้าไม่ยอม งั้นข้ามีแต่ต้องไปหาคนด้วยตัวเองแล้ว”

เฮ่อยวนก้าวไปข้างหน้า ศิษย์หลายคนก้าวถอยหลังด้วยความหวาดกลัว

นี่คือเฮ่อยวนจากเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง มีความแข็งแกร่งเทียบได้กับเจ้าตำหนักคนเก่า ตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ก็เป็นเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งหัดพูด อ่อนแอโดยสิ้นเชิง

เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่อาจต้านทานไหว คนคนหนึ่งจึงหยิบระฆังทองแดงขนาดเล็กขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากแขนทันที ถ่ายทอดกำลังภายในให้เข้าไปในตัวระฆัง และทันใดนั้นก็ส่งเสียงหึ่งดังหลายครั้ง

เฮ่อยวนถอนหายใจเบาๆ พูดอย่างอดทน “ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย หวังว่าทุกคนจะช่วยอำนวยความสะดวกด้วย”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์