สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 1296

เหมยชิงเกอขมวดคิ้ว

“คนเหล่านี้ล้วนคลุ้มคลั่งเสียสติเพราะเข้ามาทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ หากสามารถทำลายสิ่งนี้ได้ บางทีคนเหล่านี้อาจจะฟื้นคืนสติขึ้นมา”

อาคันตุกะกู่เทียนกลับมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป

“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเจ้าตำหนักเหมย หากหินก้อนนี้ก่อความวุ่นวายจริงๆ ทำไมตั้งแต่อิ๋นเฉิงเข้ามาดูแลตั้งนานหลายปีขนาดนี้ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในความคิดของข้า เรื่องนี้ค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง”

เขาหยุดแล้วกล่าวว่า “ข้าบังอาจคาดเดาว่า อาจมีเหตุการณ์บางอย่างที่เป็นจุดเริ่มต้น หรืออาจมีอุปสรรคบางอย่างเกิดขึ้น จึงนำไปทางสู่วิถีแห่งสวรรค์อีกด้านหนึ่งก็เป็นได้ สิ่งของนี้อาจจะทำให้ความเกลียดชังและความอยากได้ของมนุษย์เพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเสียสติ”

ดวงตาของเหมยชิงเกอหรี่ลงเล็กน้อย

สิ่งที่ผู้อาวุโสกู่พูด ค่อนข้างมีเหตุผลอยู่บ้าง อย่างน้อยกงซวินอวิ๋นเฟิ่งก็ไม่เป็นอะไร ความโกรธแค้นชิงในใจของนาง เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดมีความรู้สึกเหล่านี้มากกว่านางอีกแล้ว

เฮ่อยวนพยักหน้า เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้อาวุโสฉางและกู่เทียนพูด

หากมีวิธีการกำจัดวิญญาณชั่วร้ายนี้ เฮ่อยวนย่อมไม่ต้องการทำลายมันอยู่แล้ว

แม้ว่าการดำรงอยู่ของมันจะไม่มีบทบาทมากนัก แต่ก็ยังฝังลึกอยู่ในใจของลูกศิษย์ทุกคน มันได้กลายเป็นเสาหลักแห่งจิตใจของพวกเขาแล้ว ความสำคัญของทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ในอิ๋นเฉิง ก็เหมือนกับธิดาเทพของตำหนักเทพ ที่จำเป็นต้องมี

ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีศิษย์อิ๋นเฉิงก็พอใจกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว เมื่อใดที่เสาหลักแห่งจิตใจนี้หายไป เกรงว่าทุกคนจะปล่อยวางทางวรยุทธ์

เฮ่อยวนไม่มีอคติกับการศึกษา ถึงขั้นเต็มใจให้ศิษย์อิ๋นเฉิงได้ตั้งใจศึกษาอย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตาม การเรียนไม่สามารถปกป้องครอบครัวและบ้านเมืองได้ ยิ่งไม่สามารถต่อสู้สังหารศัตรูได้

ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ของตระกูลเฮ่อ เดิมทีอิ๋นเฉิงไม่ได้เป็นกลุ่มชาวยุทธ์ บรรพบุรุษหกรุ่นทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ขุนนางในราชสำนัก ช่วยเหลือกษัตริย์ ต่อมาเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ว่ากันว่าต้าโจวเกือบจะถูกทำลายทั้งแคว้น ตระกูลเฮ่อทั้งครอบครัวสามร้อยแปดสิบหกคน มีเพียงสามคนเท่านั้นที่รอดชีวิต จากนั้นมาจึงหลบไปอาศัยอยู่อย่างสันโดษที่มุมหนึ่ง ก่อตั้งเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง นับแต่นั้นก็ละทิ้งด้านวรรณกรรมและมุ่งสู่วรยุทธ์

สำหรับภัยพิบัติประเภทใดนั้น ตามบันทึกไม่ได้กล่าวถึง เฮ่อยวนก็ไม่เคยเจาะลึกศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ยังคงยึดมั่นในปณิธานของผู้นำตระกูลมาโดยตลอด แม้ว่าในอิ๋นเฉิงจะเหลือเขาเพียงคนเดียว ก็จะยังฝึกฝนวรยุทธ์ต่อไป

อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย นางค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดของแม่ แต่ก็เข้าใจว่าที่ทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ดำรงมาจนถึงทุกวันนี้ อาจยังมีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น นอกจากนี้ นางกับเย่จิ่งอวี้ไม่ได้เป็นชาวยุทธ์ เรื่องระหว่างสำนักต่างๆ หากถามมากเกินไปเกรงว่าจะไม่ดี

เย่จิ่งอวี้เหลือบมองวิถีแห่งสวรรค์ ด้วยนัยน์ตาที่ฉายแววเป็นกังวล

“นี่คงเป็นปรมาจารย์กระบี่จอมกระบี่ลิ่นที่เลื่องชื่อเพียงหนึ่งเดียวในโลกกระมัง ช่างมีบุคลิกโดดเด่นเหนือใครจริงๆ”

คำพูดนี้ใช้ไม่ได้กับลิ่นเซียว เขามีวิถีชีวิตของตัวเองมาโดยตลอด ยกเว้นหลี่เฟิ่งอี๋ที่เขายอมเชื่อฟังทุกอย่าง และศิษย์อย่างอินชิงเสวียนที่เขามีความอดทนให้บ้าง นอกเหนือจากนี้เขาก็ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาเลย

“ไม่ต้องพูดคำพูดสุภาพไปมากกว่านี้แล้ว ตกลงว่าเห็นด้วยหรือไม่ พวกเจ้าก็รีบบอกมาเถอะ”

เมื่อเห็นท่าทางอึดอัดใจของฉางชิวเฟิง อินชิงเสวียนก็รีบเดินเข้าไปพูดว่า “อาจารย์ เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ถ้าเกิดเราดึงสิ่งที่ชั่วร้ายออกมา จะไม่เป็นอันตรายมากกว่านี้หรือ”

ลิ่นเซียวแค่นเสียงเหอะ ส่ายผมสีขาวราวหิมะ แล้วพูดอย่างแข็งกร้าวดุดันว่า “กลัวอะไร มีอาจารย์อยู่ที่นี่ ใครหน้าไหนจะกล้าทำร้ายเจ้า”

อินชิงเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ทักษะวรยุทธ์ของอาจารย์ย่อมไม่มีผู้ใดเทียบได้อยู่แล้ว แต่คนอื่นอาจไม่เหมือนกับอาจารย์ หากว่าพลาดพลั้งไป ผลที่ตามมายากจะคาดเดา เราต้องกระทำการด้วยความระมัดระวัง”

ลิ่นเซียวยิ้มอย่างเหยียดหยัน “นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ แล้วทางสู่วิถีแห่งสวรรค์มีไว้เพื่ออะไร”

เขายกนิ้วขึ้น ปราณกระบี่อันท่วมท้นก็กระจายออกไปทุกทิศทุกทางโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง กระบี่ยาวที่ศิษย์ของทั้งสองสำนักรวบรวมไว้ก็ลอยขึ้นไปในทันที และปลายกระบี่ตรงไปยังวิถีแห่งสวรรค์

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์