สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 131

“เสี่ยวเสวียนจื่อ ตามข้าไปห้องหนังสือ”

เย่จิ่งอวี้กล่าวเรียบๆ จากนั้นก็ออกจากตำหนักชิงฮว๋าไป

ตอนนี้เย่ไห่ถังกำลังเล่นอย่างสนุกสนาน จึงไม่สนใจเสด็จพี่ใหญ่ของนาง

อินชิงเสวียนจึงเดินตามหลังเขา แล้วก็แอบชูนิ้วกลางเงียบๆ

เซ็งชะมัด

ประมาณสิบห้านาทีต่อมา ห้องหนังสือก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว

“ให้ท่านโหวเหนือเข้าวัง”

เย่จิ่งอวี้กางเสื้อคลุมออกแล้วนั่งบนเก้าอี้มังกร ขันทีน้อยที่ทำงานรับใช้ก็กระวีกระวาดยกน้ำชาเข้ามา

อินชิงเสวียนไม่มีอะไรทำ จึงยืนนิ่งอยู่ข้างหลังของเย่จิ่งอวี้

หลังจากนั้นไม่นานก็แว่วเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอดังเข้ามา แล้วชายผู้หนึ่งก็เดินหน้าเชิดเข้ามา

อินชิงเสวียนเกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา

เมื่อก่อนคิดมาโดยตลอดว่าคนโบราณมีผมดกหนา แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่ปรากฏทางโทรทัศน์ไม่เป็นความจริง

ซึ่งบุคคลที่อยู่เบื้องหน้านี้มีผมเพียงครึ่งศีรษะ เส้นผมบนบริเวณกลางศีรษะเบาบาง เผยให้เห็นหนังศีรษะ แต่ก็เพราะมีผมน้อยเกินไป ปิ่นกลัดมวยผมสีทองจึงถูกกลัดแบบเอียงๆ บนศีรษะของเขา ทำให้ดูน่าขันมาก

ภายใต้เส้นผมประปรายก็คือใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม ไหล่กว้าง พุงกลม ยามที่ก้าวเท้าเดินก็มีเสียงฮืดฮาดๆ

“กระหม่อมโหวเหนือถวายบังคมฝ่าบาท”

เจียงตงหลิวยกเสื้อคลุมแล้วคุกเข่าลงบนพื้น เมื่อเขาโขกศีรษะคำนับ ปิ่นกลัดมวยผมก็ชนกับพื้นเป็นเสียงดังกริ๊ง

อินชิงเสวียนพยายามกัดฟันอย่างหนัก ด้วยกลัวว่าตัวเองจะส่งเสียงหัวเราะออกมา

“ตามสบาย”

เย่จิ่งอวี้หยิบถ้วยชาขึ้นมา แล้วค่อยๆ จิบ

“จู่ๆ ท่านโหวเหนือได้มาถึงเมืองหลวง มิทราบว่าเกิดอะไรขึ้นรึ”

โหวเหนือยืนขึ้นด้วยเสียงหายใจหอบๆ พร้อมกับโค้งคำนับและกล่าวว่า “กระหม่อมทราบมาว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ไทเฮา กระหม่อมจึงมาที่นี่ล่วงหน้า เพื่อแสดงความยินดีกับองค์ไทเฮาในวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระนาง”

“ท่านมีน้ำใจแล้ว เด็กๆ ประทานที่นั่ง”

ทันใดนั้นขันทีน้อยก็นำตั่งไม้สีสันงดงามเข้ามา เจียงตงหลิวนั่งลงด้วยพุงยื่นๆ พูดด้วยรอยยิ้ม “บุตรีของกระหม่อมเป็นลูกสะใภ้โดยสายเลือดของไทเฮา หากมิได้อยู่ในราชวงศ์ กระหม่อมกับไทเฮาก็นับว่าเป็นญาติกัน จึงต้องขยันไปมาหาสู่กันเป็นธรรมดา”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘โดยสายเลือด’ ดวงตาของเย่จิ่งอวี้พลันฉายแววเยือกเย็น

เขาหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “หายากที่ท่านโหวเหนือจะมีความคิดเช่นนี้ ข้ารู้สึกสบายใจมาก เมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่สักหลายๆ วัน”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท นอกจากนี้ กระหม่อมยังมีอีกเรื่องหนึ่งจะทูลพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ยิ้มเบาๆ “ท่านโหวเหนือเชิญกล่าวมาได้”

เจียงตงหลิวไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “อันผิงอ๋องดูแลสุสานหลวงมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว ตอนนี้เมื่อเขากลับมาที่ราชสำนักแล้ว ก็ถึงเวลาต้องเข้าร่วมประชุมที่ราชสำนักเพื่อหารือเรื่องงานบ้านเมืองได้แล้ว”

เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “อันผิงอ๋องเฝ้าในสุสานหลวงเป็นเวลาหนึ่งปี ซึ่งเป็นเรื่องลำบากอย่างยิ่ง ยิ่งกว่านั้น เขาถูกแยกจากภรรยาถึงหนึ่งปี ถ้าไม่ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้มาก ข้าจะรู้สึกเสียใจยิ่ง”

เจียงตงหลิวพูดอย่างเคร่งขรึม “บุรุษจะมีความรักอันลึกซึ้งต่อสตรีได้อย่างไร อันผิงอ๋องเป็นขุนนางที่เกิดในราชวงศ์ ยิ่งควรให้ความสำคัญกับกิจการบ้านเมือง”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ อินชิงเสวียนก็เข้าใจทันที

เข้าใจว่าโหวเหนือมาเพื่อขอร้องแทนเย่จิ่งเย่า

ถ้าเศษสวะเช่นนั้นเข้ามาในราชสำนัก คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดการควมาขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก

“ท่านโหวเหนือกล่าวผิดไปแล้ว หากคนผู้หนึ่งไม่ใส่ใจแม้กระทั่งครอบครัวของตัวเอง แล้วเขาจะสนใจแคว้นได้อย่างไร”

ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้รอยยิ้มบางๆ กระแสเสียงสงบ แสดงออกถึงท่วงท่าอันสง่างามแห่งราชา

เจียงตงหลิวเปล่งเสียงเอ่อออกมาคำหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถึงกระนั้น อันผิงอ๋องก็กลับมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว พักผ่อนนานปานนี้ ก็ควรเพียงพอแล้ว”

เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบนริมฝีปาก

“ข้าก็คิดว่าเพียงพอแล้ว เพียงแต่น้องชายของข้ายังไม่เคยสร้างความดีความชอบเลย หากผลีผลามกลับราชสำนักโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี อาจทำให้คนไม่พอใจ ทุกวันนี้ข้าคิดหามรุ่งหามค่ำ ​​ในที่สุดข้าก็พบโอกาสที่จะทำให้น้องข้ากลับสู่ราชสำนักได้”

เจียงตงหลิวนั่งตัวตรงทันที

“โอ้? มิทราบว่าฝ่าบาทต้องการให้ท่านอ๋องทำสิ่งใด”

“ไปเถอะ หากเจ้าชนะ ตำแหน่งผู้คุมตราประทับขันทีฝ่ายในจะกลายเป็นของเจ้าทันที”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

อินชิงเสวียนคุกเข่าข้างหนึ่ง

“ลุกขึ้น” เย่จิ่งอวี้โบกมือ “เด็กๆ ให้ฉินเทียนกับหลี่ฉีไปรอที่ประตูวัง”

“เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา”

จากนั้นอินชิงเสวียนก็ออกจากห้องหนังสือทันที

มาสมทบกับฉินเทียนและหลี่ฉีที่ประตูวัง แล้วทั้งสามคนก็มุ่งหน้าไปยังสนามฝึก

ในเวลาเดียวกัน โหวเหนือก็มาถึงจวนอันผิงอ๋องแล้ว

เมื่อเห็นผู้เป็นบิดา เจียงซิ่วหนิงก็รีบทรุดตัวลงกับพื้นทันที พูดอย่างตื่นเต้น “ลูกคารวะท่านพ่อ”

โหวเหนือตกใจ รีบพยุงเจียงซิ่วหนิงลุกขึ้นทันที

เขาโค้งคำนับลูกสาวด้วยความเคารพ

“กระหม่อมถวายพระพรพระชายา”

เจียงซิ่วหนิงกล่าวด้วยความลำบากใจว่า “ที่นี่ไม่มีคนนอก ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องสุภาพเจ้าค่ะ”

เจียงตงหลิวกล่าวว่า “พิธีมิอาจละเว้นได้ แล้วท่านอ๋องล่ะ”

เจียงซิ่วหนิงไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “อยู่ในห้องโถงเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวท่านพ่อค่อยเข้าไปดีกว่า”

เย่จิ่งเย่ากำลังบรรจงเขียนคิ้วอยู่ แม้ว่าขนคิ้วจะขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังขึ้นป็นขนอ่อนๆ อยู่รำไร ถ้าไม่เขียนขึ้น เขาก็ไม่มีหน้าจะไปพบใคร

เมื่อได้ยินทั้งสองคนคุยกัน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนใจ

“วาดเร็วๆ สิ”

สาวใช้ตัวสั่นไปทั้งตัว และทันใดนั้นก็ลากเส้นไปถึงหางตาของเย่จิ่งเย่า

เย่จิ่งเย่าถูกทำให้เจ็บเช่นนั้น เขาก็โกรธเกรี้ยว เตะนางกระเด็นออกไป แล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์