สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 134

อินชิงเสวียนถูกอวิ๋นฉ่ายปลุกให้ตื่น

“พี่ใหญ่ ถึงเวลากินข้าวแล้ว”

อินชิงเสวียนยังคงงุนงงเล็กน้อย หลังจากมองท้องฟ้าครู่หนึ่ง จึงจำได้ว่าตัวเองกลับมาที่วังเย็นแล้ว

“เสี่ยวหนานเฟิงอยู่ที่ไหน”

“อยู่นี่!”

ยายหลี่รีบอุ้มเด็กขึ้นมา

เสี่ยวหนานเฟิงชี้นิ้วเล็กจ้อยไปที่อินชิงเสวียน แล้วก็พูดอ้อแอ้ไม่หยุด

อินชิงเสวียนเอื้อมมือออกไปรับเด็ก แล้วพูดด้วยท่าทางขอโทษ “ขอโทษจริงๆ พ่อเผลอหลับไป”

“เฮ้อ”

เสี่ยวหนานเฟิงดูเหมือนจะเข้าใจ เขายื่นมือเล็กๆ ออกไปสัมผัสใบหน้าของอินชิงเสวียน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สอดสองนิ้วเข้าไปในจมูกของอินชิงเสวียน

อินชิงเสวียนคันจมูก ก็อดไม่ได้ที่จะจาม แล้วเจ้าหมาน้อยก็เริ่มหัวเราะ

ยายหลี่วางถาดเกี๊ยวลง เมื่อเห็นเกี๊ยวร้อยๆ ที่มีควันฉุย อินชิงเสวียนรู้สึกเหมือนกำลังฉลองตรุษจีนแปลกๆ

นางเป็นคนจีนทางเหนือ ตรุษจีนทุกปีจะต้องกินเกี๊ยว เมื่อนึกถึงการนับถอยหลังข้ามปีกับย่า ดูรายการข้ามปี อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

อวิ๋นฉ่ายเตรียมถ้วยออกมาใส่ซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูดำทั้งหมดแล้ว

จากนั้นทั้งสามคนก็นั่งล้อมวง และในขณะที่กำลังจะกินข้าว ไป๋เสวี่ยก็วิ่งเข้ามาจากข้างนอก นั่งบนพื้นและยกขาหน้าขึ้น

อินชิงเสวียนรู้สึกงุนงงอยู่พักหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ประตู

แล้วก็ร่างสูงเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ซึ่งนั่นคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เย่จิ่งอวี้

ยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายตกใจ รีบวางตะเกียบลง คุกเข่าลงคำนับ

“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”

อินชิงเสวียนขบกรามแน่น นใจรู้สึกอึดอัดมาก เดิมทีก็อยากกินเกี๊ยวอยู่หรอก แต่เมื่อมีฮ่องเต้ยืนอยู่ข้างๆ ใครจะกินลง

นางขมวดคิ้ว อุ้มลูกแล้วทำเป็นหาว และโค้งคำนับอย่างไม่เต็มใจนัก “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”

“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”

วันนี้เย่จิ่งอวี้อารมณ์ดี

การมาถึงของโหวเหนือไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาของเจียงวูเท่านั้น แต่ยังลดอำนาจของโหวเหนือด้วย แม้ว่าเย่จิ่งเย่าจะมีกลอุบายอื่น แต่เขาก็มีวิธีที่จะรับมือ

ประกอบกับเรื่องการแสดงศิลปะต่อสู้ก็ดูเข้าเค้าแล้ว เย่จิ่งอวี้จึงรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง

ในตอนที่พระอาทิตย์กำลังตก อากาศเย็นสบาย เขาจึงพาไป๋เสวี่ยออกไปเดินเล่น แต่ไม่นึกว่าเจ้าสุนัขตัวนี้พอออกจากประตูก็ตรงมายังวังเย็นแห่งนี้

เย่จิ่งอวี้ไม่ได้นำผู้ติดตามมาด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องตามมันมา

แล้วอวิ๋นฉ่ายและยายหลี่ก็ยืนขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นทั้งสองก็ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความนอบน้อม

อินชิงเสวียนรู้ว่าทั้งสองคนก็หิวเหมือนกัน ดังนั้นนางจึงหยิบเกี๊ยวขึ้นมา แล้วพูดกับพวกนางว่า “พวกเจ้าสองคนไปกินที่ห้องโถงด้านข้างเถอะ ข้าจะรับใช้ฝ่าบาทเอง”

“เอ่อ...”

พวกยายหลี่ทั้งสองคนถือจาน แต่พวกนางไม่กล้าขยับ

เย่จิ่งอวี้จึงพยักหน้าให้ทั้งสองคน

“ไปเถอะ ให้เสี่ยวเสวียนจื่ออยู่กับข้าก็พอ”

ยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายต่างก็กลัวฮ่องเต้มาก พวกนางต่างก็วิ่งไปพร้อมกับเกี๊ยวทันที ราวกับว่าพวกนางได้รับการนิรโทษกรรม

อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงนั่งบนม้านั่งหินข้างๆ

“ฝ่าบาท ต้องการเสวยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “ถ้าพอให้พวกเจ้ากิน ข้าก็อยากลองชิมดู”

ชิ ตะกละก็ตะกละไปสิ ทำไมต้องพูดจาสูงส่งปานนั้น

อินชิงเสวียนหยิบตะเกียบคู่หนึ่งส่งให้เย่จิ่งอวี้ แล้ววางซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูดำที่ผสมแล้วไว้ตรงหน้าเขา

“เกี๊ยวต้องจุ่มลงในน้ำปรุงรสนี้ ถึงจะอร่อยขึ้น”

หลังจากพูดจบก็หยิบเกี๊ยวขึ้นมา กัดคำหนึ่ง แล้วจุ่มในชามที่ใส่ซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูดำ

ไป๋เสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็กระวนกระวาย เกาะแข้งเกาะขาของอินชิงเสวียนแล้วครางหงิงๆ ไม่หยุด อินชิงเสวียนทนไม่ไหว นางจึงโยนเกี๊ยวให้มันชิ้นหนึ่ง

เสี่ยวหนานเฟิงในอ้อมแขนของนางก็กระวนกระวายเช่นกัน สองมือน้อยๆ คว้าเสื้อของอินชิงเสวียน อ้าปากเล็กๆ จะกัดตะเกียบเข้าปาก

เมื่อเห็นเด็กร้อนใจจนน้ำลายไหล เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้ว

“ทำไมไม่ให้เขากินล่ะ”

“เด็กตัวเล็กเท่านี้ จะกินของแบบนี้ได้อย่างไร ฝ่าบาทประทานแพะตัวเมียให้ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ประเดี๋ยวค่อยให้เขาดื่มนมแพะ”

สิ่งที่อินชิงเสวียนกังวลไม่ใช่เรื่องนี้ แต่วิธีที่เขาอุ้มลูกนั้นไม่ถูกต้อง

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “ฝ่าบาทต้องวางมืออีกข้างบนหลังของเด็กด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาร่วงตก”

เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงอ้อออกมาคำหนึ่ง แล้วจับเอวของเด็กไว้

เสี่ยวหนานเฟิงสนใจผมของเย่จิ่งอวี้ทันที มือเล็กๆ จับผมของเขา แล้วพูดอ้อแอ้

เย่จิ่งอวี้ก็มองดูเด็กเช่นกัน รู้สึกว่าร่างเล็กๆ ของเขานั้นนุ่มนวลน่ารัก มีกลิ่นหอมละมุนมาก รูปลักษณ์ก็น่าเอ็นดู ใบหน้าเล็กราวกับเมล็ดแตงโมช่างดูละม้ายคล้ายกับเสี่ยวเสวียนจื่อ

น่ารักมากจริงๆ!

สามารถให้กำเนิดลูกที่สวยงามเช่นนี้ได้ แม่ของเขาจะต้องเป็นสตรีที่งามล่มแคว้นแน่นอน

เมื่อคิดถึงความรักที่เสี่ยวเสวียนจื่อมีต่อหญิงผู้อื่น เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อยโดยไม่มีเหตุผล

ความรู้สึกนั้นทำให้เขาตกตะลึง

ไร้สาระ!

เขาคงให้ความสำคัญกับเสี่ยวเสวียนจื่อมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงมีความคิดที่ไร้สาระเช่นนี้

เย่จิ่งอวี้จัดระเบียบความคิดของตัวเองเสียใหม่ หันความสนใจไปที่เด็กที่อยู่ในอ้อมแขน

เสี่ยวหนานเฟิงกำลังเงยดวงหน้าเล็กๆ ขึ้น พูดอ้อแอ้ภาษาทารกกับเย่จิ่งอวี้ไม่หยุด

เมื่อมองดูดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น จิตใจของเย่จิ่งอวี้ก็ผ่อนคลายลง เขาเหยียดนิ้วเรียวยาวออก จับคางเล็กๆ ขึ้นมา แล้วหยอกล้อด้วยอาการเงอะงะ

อินชิงเสวียนรีบใช้โอกาสนี้กิน ในขณะที่กิน นางก็ป้อนไป๋เสวี่ยไปด้วย รีบร้อนจนเหงื่อไหลซ่ก

ในห้องโถงด้านข้าง อวิ๋นฉ่ายและยายหลี่ก็กินเสร็จแล้ว ทันทีที่พวกนางเดินออกจากประตู ก็เห็นฮ่องเต้อุ้มเด็ก พลางเดินพลางกล่อมเขาไปด้วย

ขากรรไกรของพวกนางทั้งสองแทบจะร่วงลงพื้น ต่างถอยกลับไปที่ห้องโถงด้านข้าง

“ฝ่าบาททรงอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงแล้ว”

ยายหลี่เริ่มตื่นเต้นอีกครั้ง

อวิ๋นฉ่ายก็พยักหน้าอย่างมีความสุข กระซิบเสียงแผ่วเบาว่า “ใช่ นี่ต้องเป็นความสัมพันธ์ทางสายเลือดแน่ๆ”

ขณะที่ทั้งสองกำลังตื่นเต้น ไทเฮาก็ได้รับข่าวเช่นกัน

ฮ่องเต้เสด็จสู่วังเย็นแล้ว!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์