สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 159

"ท่านนี้คือนายหญิงจากหอสุ่ยอวิ้นที่ฝ่าบาททรงโปรด เจ้าช่วยผ่อนผันให้หน่อยเถิด"

หลังจากได้ยินคำพูดของอินชิงเสวียน องครักษ์ก็ยังไม่สะทกสะท้าน

"ไม่ได้ ถาจะเข้าเจ้าก็ต้องเข้าไปคนเดียว"

จุ๊ๆ เชื่อฟังดีจริงๆ

แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน จะได้ป้องกันไม่ให้พวกลูกหมาลูกแมวมาลักพาตัวเสี่ยวหนานเฟิงไป

"เช่นนั้นก็ได้ งั้นเราไปคุยกันที่อื่นดีกว่า"

ซ้ายมือของตำหนักจินหวูมีสวนกล้วยไม้อยู่ อินชิงเสวียนเดินนำทั้งสองคนเข้าไปในสวน และนั่งลงที่บันไดตอนหนึ่ง

"ระยะนี้นายหญิงเป็นอย่างไรบ้าง"

หานปิงกำลังจะพูด แต่ถูกสายตาของสวีจือย่วนหยุดไว้

"ก็ดี หานปิง เจ้าไปเฝ้าอยู่ตรงนั้นนเถอะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเสี่ยวเสวียนจื่อ"

หานปิงตอบรับแล้วเดินไปเฝ้าอยู่อีกด้าน จากนั้นสวีจือย่วนก็คว้ามือของอินชิงเสวียนไว้

"เรื่องตระกูลอิน เจ้าวางแผนไว้ว่าจะทำอย่างไร"

อินชิงเสวียนอึ้งกับการถูกถามไปชั่วขณะ

นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางจะสามารถทำตามที่ตัวเองคิดได้

ตระกูลอินทั้งครอบครัวไม่ได้ถูกล่ามตรวน เย่จิ่งอวี้ก็ไม่ได้สืบสาวราวเรื่องของตระกูลอินเพราะเรื่องของอินสิงอวิ๋น นี่นับว่าเป็นความโชคดีท่ามกลางความโชคร้ายแล้ว

"เรื่องนี้ต้องรอโอกาส เร่งรีบไม่ได้"

นางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดกับสวีจือย่วนด้วยเสียงที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน "พี่ใหญ่ข้ายังไม่ตาย แถมยังอยู่ในเมืองหลวง"

"อะไรนะ"

ดวงตาของสวีจือย่วนเบิกกว้างด้วยความตกใจ มุมปากของนางสั่นเทา

"หรือว่า...เจ้าได้พบเขาแล้ว"

อินชิงเสวียนพยักหน้า

"แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพเงา แต่นั่นน่าจะเป็นพี่ใหญ่ของข้า"

สวีจือย่วนกำนิ้วของนางอีกครั้ง ดวงตาของนางแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น

"เขาอยู่ที่ไหน ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน"

"เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ในเมื่อเขาจำข้าได้แล้ว เขาต้องติดต่อมาหาข้าอีกแน่นอน"

ที่อินชิงเสวียนพูดเช่นนี้ นางก็มีข้อพิจารณาของนางเองเช่นกัน

ตอนนี้ตัวเองเหมือนอยู่โดดเดี่ยวในวัง หากเกิดอะไรขึ้น นางคงไม่มีผู้ใดมาปกป้องนางด้วยซ้ำ ดังนั้น นางจึงต้องดึงคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหลายคน เอาไว้เผื่อ

นอกจากนี้เนื่องจากความสัมพันธ์ของอินสิงอวิ๋น สวีจือย่วนไม่น่าจะทรยศต่อนางในตอนนี้ และท่าทีของเย่จิ่งอวี้ที่มีต่อนางก็แตกต่างจากนายหญิงผู้อื่น บางทีเมื่อเกิดเรื่องขึ้นในภายหน้า นางอาจช่วยขอร้องแทนตัวเองก็ได้

เมื่อเงนหน้าขึ้น ใบหน้าของสวีจือย่วนก็เต็มไปด้วยน้ำตา

กลืนก้อนละอื้นลงคอพูดว่า "เขายังมีชีวิตอยู่ ดีจัง! สวรรค์คงได้ยินคำอธิษฐานของข้าแล้วแน่ๆ"

"อืม ถ้าข้าได้พบเขา จะช่วยเจ้าถ่ายทอดความคิดถึงของเจ้าที่มีต่อเขาอย่างแน่นอน"

"ไม่ได้นะ"

แก้มของสวีจือย่วนเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที แล้วก้มหน้าก้มตาพูดว่า "อย่าพูดเหลวไหล"

อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า "ก็ได้ ข้าเชื่อเจ้า"

จากนั้นสวีจือย่วนก็เงยหน้าขึ้น

"ข้าได้ยินมาว่าท่านอ๋องสิบสามกลับมาเมืองหลวงแล้ว ยังได้ยินมาด้วยว่าฝ่าบาทมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขามาก หากเจ้าสามารถออกจากวังได้ บางทีเจ้าอาจไปขอร้องเขาได้"

อินชิงเสวียนส่ายศีรษะอย่างจนใจ

"เรื่องของตระกูลอินอาจซับซ้อนกว่าที่ข้าคิด และวันนี้ท่านอ๋องก็ได้ขอร้องแทนตระกูลอินแล้ว"

"อา! แล้ว...ฝ่าบาทว่าอย่างไร"

อินชิงเสวียนบีบสันจมูก แล้วพูดว่า "หากจะตัดเรื่องความสัมพันธ์แล้ว ฝ่าบาทนับว่าปรานีต่อตระกูลอินมากแล้ว หากขอร้องเรื่องอื่นอีก เกรงว่าจะไม่ง่าย"

สวีจือย่วนถอนหายใจแล้วพูดว่า "เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรดี"

"ทนอีกสักระยะเถอะ ข้าจะหาโอกาสไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท"

อินชิงเสวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วคิดในใจ ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเย่จิ่งอวี้จะพูดอะไรกับเย่จั้นอีก เสียดายที่ไม่ได้ยิน!

สวีจือย่วนลุกขึ้นยืน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ข้าออกมาได้สักพักแล้ว ต้องกลับไปก่อน ประเดี๋ยวผู้อื่นเห็นเข้าจะมองไม่ดี เจ้าต้องระวังให้มากขึ้น ถ้ามีปัญหาให้มาหาข้า แม้ตัวข้าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ข้าก็จะช่วยเจ้า"

เสี่ยวหนานเฟิงก็เลียนแบบนาง ปากเล็กๆ ขยับหมุบหมิบ ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก

หัวใจของอินชิงเสวียนเกือบละลายด้วยความน่ารักนั้น จับมือเล็กๆ ของเขาแล้วขบเล่นเบาๆ

ครั้นแล้วเสี่ยวหนานเฟิงหัวเราะร่า ก้นเล็กๆ เด้งไปมา

เมื่อเห็นลูกร้อนจนเหงื่อผุดขึ้นที่ปลายจมูก อินชิงเสวียนก็รีบอุ้มเข้าไปในห้อง แล้ววางเขาลงบนเตียง

"เจ้าตัวแสบ มาเย็นๆ กันเร็ว"

หน้าต่างประตูตำหนักถูกเปิดออกหมด มีลมพัดเข้ามาทุกด้าน ทำให้ห้องเย็นสบายมาก

เสี่ยวหนานเฟิงก็เหยียดแขนและขาออก แล้วส่งเสียงร้องอย่างมีความสุข

อินชิงเสวียนหยิบแป้งฝุ่นออกมา จับเท้าเล็กๆ ของเสี่ยวหนานเฟิง แล้วปัดแป้งไปที่บริเวณก้น ข้อมือ และข้อเท้าของเขา

ดวงตาของเสี่ยวหนานเฟิงถูกแผ่นฟองน้ำตบแป้งดึงดูดทันที เขายื่นมือเล็กๆ ออกไปขอ ปากเล็กๆ เม้มแน่น แล้วพ่นฟองออกมา

อินชิงเสวียนระเบิดเสียงหัวเราะลั่น และยายหลี่ที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกขบขันเช่นกัน

"เสี่ยวหนานเฟิงของเรามีเรื่องราวมากขึ้นเรื่อยๆ ทำคนเอ็นดูมากจริงๆ"

อินชิงเสวียนยังพบว่าเด็กน้อยคนนี้น่าเอ็นดูกว่าเดิมมาก ใบหน้าน้อยๆ ก็เริ่มกลมและน่ารักมากขึ้น ทุกครั้งที่เห็นก็อยากจะเอื้อมมือไปถูเล่น

"รอให้เสี่ยวหนานเฟิงอายุครบหนึ่งขวบ ข้าจะสอนให้เขาอ่านเขียนได้ จะเลี้ยงดูเขาให้เติบโตขึ้นอย่างดี"

หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็จำได้ว่าเสี่ยวหนานเฟิงอายุใกล้จะครบหนึ่งร้อยวันแล้ว ถึงตอนนั้นต้องเฉลิมฉลองสักหน่อย เช่นนั้นก็...ทำหม้อไฟกินดีกว่า!

เมื่อนึกถึงหม้อไฟ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล

ซี๊ด ไม่ได้กินมานานแล้ว!

เสี่ยวหนานเฟิงก็ทำปากเลียนแบบอินชิงเสวียน ปากเล็กๆ สูดปากเข้าอย่างแรง

สวรรค์ เจ้าตัวแสบนี่น่ารักจริงๆ

แววตาของอินชิงเสวียนเป็นประกายระยิบระยับ อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมาและกอดแรงๆ จนกระทั่งเสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาประท้วง นางจึงหยุด

ชั่วพริบตาพระอาทิตย์ก็ตกดิน

หลังจากอินชิงเสวียนกินอาหารเย็นเสร็จ นางก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงออกไปเดินย่อย เมื่อเห็นว่าดวงตาของลูกน้อยหรี่เล็กลงเรื่อยๆ ก็เดาได้ว่าเขาคงง่วงนอนแล้ว นางจึงส่งเขาให้กับยายหลี่

"พาเขาไปนอนเถอะ ข้าจะไปเดินเล่นที่หอฉงฮวาสักหน่อย"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์