สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 177

"คนคนหนึ่ง? หรือท่านทำเพื่อสวีจือย่วน?"

อินชิงเสวียนถามด้วยความตกใจ

อินสิงอวิ๋นประหลาดใจเล็กน้อย "เจ้ารู้จักสวีจือย่วนงั้นหรือ?"

อินชิงเสวียนคิดในใจ แน่นอนสิ ตั้งแต่สมัยโบราณวีรบุรุษต้องเสียใจให้กับสาวงาม!

"ใช่สิ ตอนนี้นางได้เข้าวังแล้ว นอกเสียจากท่านจะลักตัวนางออกมาจากวังได้ มิเช่นนั้น เกรงว่าทั้งชาตินี้คงไม่ได้พบหน้ากันอีก"

สีหน้าของอินสิงอวิ๋นไร้อารมณ์ความรู้สึกในทันที

"ข้าไม่ได้ทำเพื่อนาง"

อินชิงเสวียนถามอย่างแปลกใจ "เช่นนั้นทำเพื่อสิ่งใด?"

"เป็นเพราะว่า..."

อินสิงอวิ๋นพูดครึ่งหนึ่ง และพูดต่อ "เรื่องพวกนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ข้าขอถามเพียงว่า เจ้าอยากออกจากเมืองหลวงหรือไม่?"

"แน่นอนว่าข้าอยากไป แต่ตอนนี้ท่านยังเอาตัวเองไม่รอด แล้วจะพาข้าไปได้อย่างไร?"

อินสิงอวิ๋นยิ้มแล้วถามว่า "เจ้าเห็นข้าเหมือนคนเอาตัวไม่รอดงั้นหรือ?"

"แต่ท่านเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญของราชสำนัก เอ่อ ข้าหมายถึง..."

อินชิงเสวียนไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรแล้ว

อินสิงอวิ๋นไม่ได้รู้สึกโกรธ พลางดึงมือของอินชิงเสวียนและพูดอย่างอ่อนโยน "เจ้าวางใจได้ ข้ายังคงอยู่ในเมืองหลวง และมีหนทางสำหรับการเข้าออก ขอเพียงเจ้ายอมไป ข้าพาเจ้าไปได้ทุกเมื่อ"

ความอบอุ่นที่ปกคลุมมือของนาง ทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ

นางชักมือกลับและถามขึ้นอย่างคิ้วขมวด "เรื่องพวกนี้ยังไม่ต้องพูด เหตุใดท่านจึงสารภาพผิดต่อกรมยุติธรรม และใส่ร้ายว่าท่านพ่อไม่ซื่อสัตย์?"

สีหน้าของอินสิงอวิ๋นเย็นชาลงเล็กน้อย และเขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม "นี่เป็นเพียงแค่ไอ้แก่อย่างกวนเมิ่งถิง ต้องการแย่งเอาความดีความชอบของผู้อื่นมาเป็นของตนก็เท่านั้น วันนั้นผู้ที่สอบสวนข้าก็คือเขา และมีเพียงเขาแค่คนเดียว แต่เจ้าวางใจได้ ข้าจะทำให้เขาตายอย่างอนาถ เพียงแต่... ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา"

อินชิงเสวียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย "เช่นนั้นท่านก็ไปเล่าให้ฝ่าบาทฟังสิ การที่ท่านไปแบบนี้ ไม่เพียงแต่ลำบากไปถึงท่านพ่อ และยังลำบากถึงจอมพลเฒ่ากวนด้วย อีกทั้งยังเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตราย"

อินสิงอวิ๋นฮึดฮัดอย่างไม่แยแส "เย่จิ่งอวี้จะเชื่องั้นหรือ เขาคิดเพียงให้ตระกูลอินของพวกเราต้องตาย"

อินชิงเสวียนลังเลเล็กน้อย และพูดขึ้นว่า "ความจริง...เขาไม่ใช่ผู้ที่เผด็จการถึงขนาดนั้น หากเหตุผลนั้นถูกต้องตามกฎหมาย เขาจะยอมฟังอย่างแน่นอน"

สีหน้าของอินสิงอวิ๋นขรึมลงทันที

"ชิงเสวียน เจ้ากล้าช่วยพูดให้แก่สุนัขฮ่องเต้งั้นหรือ?"

อินชิงเสวียนนั่งบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจ "ข้าไม่ได้ช่วยพูดให้เขา เพียงแต่บางเรื่องก็ควรพูดให้ชัดเจน ท่านพ่อจงรักภักดีต่อประเทศชาติมาทั้งชีวิต ไม่ควรต้องลงเอยเช่นนี้ อีกอย่างจดหมายตอบกลับฉบับนั้น สรุปว่าคืออะไรกัน?"

อินสิงอวิ๋นหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง

"เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ อาจเป็นบทละครที่เขียนและแสดงโดยสุนัขฮ่องเต้นั่นก็ได้ เขารู้ว่าเจ้าเคยมีอดีตกับอ๋องจิ้ง ดังนั้นเขาจึงอยากใส่ร้ายตระกูลอินของเรา"

อินชิงเสวียนคิดไปมาและพูดขึ้น "ข้าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นเย่จิ่งอวี้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นครั้งแรก และเป็นเวลาที่จะเอาชนะใจผู้คน เขาจะรีบตามฆ่าทุกคน เพื่อให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เขาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้ยินมาว่ามีขนนกยูงอยู่บนจดหมาย มันเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์เจียงวู"

อีกทั้งเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ชอบนาง ไม่มีประโยชน์ที่ต้องทำเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้

อินสิงอวิ๋นหันหลังกลับและพูดว่า "ชายผู้นี้มีอุบายที่ลึกล้ำ อย่าคิดว่าอยู่กับเขาเพียงไม่กี่วันแล้วเจ้าจะมองเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หากความคิดของเขาถูกคนมองออก เย่จิ่งเย่าจะพ่ายแพ้ในสนามรบได้อย่างไรกัน"

"คนเลวทรามอย่างเย่จิ่งเย่าไม่เหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้ หากใต้หล้าอยู่ในกำมือของเขา ไม่รู้ว่าจะมีสภาพเป็นเช่นไร"

อินชิงเสวียนไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อเย่จิ่งเย่า เมื่อพูดชื่อของเขาก็แทบจะอาเจียนออกมา

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของอินสิงอวิ๋นก็คลายลง

หันตัวมาพูดว่า "ที่เจ้าพูดก้ไม่ผิด สิ่งที่เจ้าควรทำในตอนนี้คืออยู่ให้ห่างจากคนตระกูลเย่"

"แต่ว่า เรื่องของตระกูลอินของเราควรทำอย่างไร หรือต้องรับโทษเป็นกบฏมาตลอดชีวิตของเรา?"

อินชิงเสวียนยังอยากช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ตระกูลอิน อย่างไรนางก็ใช้ร่างกายของเจ้าของร่างเดิม จึงคิดอยากทำบางสิ่งเพื่อเป็นการตอบแทนนาง

เสียงของอินสิงอวิ๋นอ่อนโยนขึ้นมาก

เวลานี้ เย่จิ่งอวี้คงกำลังอ่านฎีกาอยู่

เมื่อนึกถึงเงินและไข่มุกเหล่านั้น อารมณ์ของอินชิงเสวียนก็ดีขึ้นมาก

สรุปว่าไปประจบสอพลอก่อนเสียดีกว่า

ทันทีที่เดินเข้าประตู อินชิงเสวียนก็คุกเข่าพรวดลงพื้นทันที

"กระหม่อมเสี่ยวเสวียนจื่อถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทได้รับพรอันเป็นอมตะตลอดกาล ดำรงอยู่นานตราบเท่าสวรรค์ ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!"

เย่จิ่งอวี้กำลังอ่านฎีกาอยู่ เมื่อได้ยินก็เงยหน้าขึ้น ถามขึ้นกึ่งยิ้มไม่ยิ้ม "ท่าทางเจ้าจะดีใจมากนะ?"

อินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากของนางแล้วพูดว่า "กระหม่อมได้เห็นของที่ฝ่าบาทมอบให้แล้ว เมื่อเห็นว่าฝ่าบาททรงคิดถึงกระหม่อมอยู่เสมอ จึงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจพ่ะย่ะค่ะ"

"ลุกขึ้นเถอะ"

เย่จิ่งอวี้วางพู่กันลง ยิ้มและพูดขึ้นว่า "บ้านหลังนี้ข้ามอบให้เจ้าอยู่นานแล้ว หากว่าเจ้าไม่อาจทนอยู่ได้ เหตุเพราะไม่ใช่วิถีการใช้ชีวิตของเจ้า"

อินชิงเสวียนยิ้มแห้งและพูดว่า "มิใช่ว่ากระหม่อมไม่ไปพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพราะช่วงนี้มีเรื่องมากมาย จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ไม่ทราบว่าคืนนี้ฝ่าบาทอยากเสวยสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะอบขนมเปี๊ยะให้ฝ่าบาท หรือนึ่งซาลาเปา เพื่อแสดงความขอบคุณพ่ะย่ะค่ะ"

"ก็จริงดังนั้น"

เย่จิ่งอวี้พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินไปด้านหน้าของอินชิงเสวียน ก้มหน้ามองนางและพูดว่า "อีกสองวันเราจะส่งทหารไปยังเจียงวู ก็จะไม่มีเรื่องสำคัญอะไรแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ คือการประทานตำแหน่งอ๋องให้แก่เสี่ยวหนานเฟิง"

"คือว่า..."

อินชิงเสวียนกลอกตาและพูดว่า "เสี่ยวหนานเฟิงไม่ใช่คนในเชื้อสายราชวงศ์ จึงไม่เหมาะไม่ควรอย่างแท้จริง และจะต้องเกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างแน่นอน กระหม่อมมองว่าไม่จำเป็นเลยพ่ะย่ะค่ะ"

จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็นั่งยองๆ ลงต่อหน้านาง มองดูใบหน้าเล็กๆ ที่สวยงามของนางแล้วถามว่า "นี่ถือว่าเจ้าคิดแทนข้าหรือไม่?"

อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น และตกใจกับใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้า นางรีบครูดถอยหลังไปสองสามก้าว

นี่มันแปลกเกินไปแล้ว ตัวเองกำลังคุกเข่าอยู่ ฝ่าบาทก็กำลังนั่งยองๆ พูดคุยกันดีๆ ไม่ได้หรือ?

เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นมาแล้ว เขาแค่นหัวเราะเบาๆ เอามือไพล่หลังและพูดว่า "เรื่องที่ข้าตัดสินใจแล้ว ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่มีทางแก้ได้ เจ้าออกไปก่อนเถอะ!"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์