สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 181

วันรุ่งขึ้น

หลังจากเล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงมาตลอดทั้งบ่าย อินชิงเสวียนเหนื่อยจนแทบหมดแรง

เด็กๆ มีพลังไม่จำกัดอยู่เสมอ และก็ชอบผมของนางโดยเฉพาะ

หลักจากที่กล่อมเสี่ยวหนานเฟิงจอหลับ อินชิงเสวียนก็อยากงีบหลับสักหน่อย แต่ทันทีที่หัวถึงหมอน เสี่ยวอานจื่อก็วิ่งเข้ามา

“เสี่ยวเสวียนจื่อ ฝ่าบาทให้เจ้ารีบไปที่ห้องหนังสือ ตรัสว่ามีเรื่องด่วน”

อินชิงเสวียนลุกขึ้นมาด้วยความมึนงง

“ได้ตรัสหรือไม่ว่ามีสิ่งใด?”

“ไม่เลย ท่านอาจารย์ของข้าก็บอกกับข้าเช่นนี้เหมือนกัน”

“รู้แล้ว”

อินชิงเสวียนยืดตัวบิดขี้เกี้ยจ สวมหมวกและจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปยังห้องหนังสือด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์

เย่จิ่งอวี้ได้เปลี่ยนไปใส่ชุดลำลองเรียบร้อยแล้ว

ร่างที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน ทำให้ร่างกายสูงและสง่างามของเขาดูเหมือนองอาจห้าวหาญ

ชายเสื้อและปลายแขนปักด้วยด้ายเงิน ทุกท่าทางอิริยบทล้วนเผยให้เห็นถึงความสูงส่งมาแต่กำเนิด

“กระหม่อมขอถวายบังคมฝ่าบาท!”

อินชิงเสวียนแอบเหลือบมองเขา ต้องยอมรับเลยว่าใบหน้าของเย่จิ่งอวี้หล่อเหลาเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าสามร้อยหกสิบองศาฆ่าไม่ตายจริงๆ

ใบหน้าที่มีอัตราส่วนความยาวศีรษะต่อความสูงสมมาตรฐาน หากเอาเข้าวงการบันเทิงในปัจจุบันนี้ คงกลายเป็นความฝันของสาวๆนับร้อยล้านอย่างแน่นอน

“ลุกขึ้นเถอะ”

เย่จิ่งอวี้พูดเบาๆ พร้อมรอยยิ้ม ชี้ไปที่เสื้อผ้าที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “เปลี่ยนใส่ชุดลำลองนี่เสีย ข้าจะออกนอกวังเสียหน่อย”

“หา? ฝ่าบาทจะออกนอกวังหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ร่องรอยของการถูกแทงเมื่อไม่กี่วันก่อนยังไม่จางหายไป และนางก็ไม่อยากตามเขาออกไปหาความตายอีก

“ถูกต้อง รีบเปลี่ยนเข้าสิ ข้าให้เวลาเจ้าเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น”

เย่จิ่งอวี้กางเสื้อคลุมของเขาออกและนั่งลงบนเก้าอี้มังกรที่อยู่ด้านข้าง

อินชิงเสวียนทำได้เพียงหยิบเสื้อผ้า และไปเปลี่ยนที่โถงด้านข้าง

เมื่อเห็นอินชิงเสวียน ไป๋เสวี่ยกระโดดขึ้นมาในทันที พร้อมกับกระโจนไปบนตัวนางด้วยความตื่นเต้น

อินชิงเสวียนเกือบจะล้มลง จึงตบหัวใหญ่ๅของมันอย่างไม่เกรงใจ

“ไปนั่งทางนั้น ข้าเปลี่ยนชุดเสร็จจะใส่น้ำให้เจ้า”

ไป๋เสวี่ยฟังเข้าใจในทันที และไปนั่งอีกด้านอย่างว่าง่าย สองอุ้งเท้าใหญ่วางเข้าด้วยกันเพื่อไหว้อินชิงเสวียน

อินชิงเสวียนเหลือบมองมันอย่างสงสัย และทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกที่ไม่สมเหตุสมผลออกมา หากดื่มน้ำพุวิญญาณมากเกินไป ไม่แน่ว่าไป๋เสวี่ยอาจจะพูดได้สักวัน

ไป๋เสวี่ยก็เอียงหัวใหญ่ๆ ของมันมองไปที่นาง ดวงตาคู่หนึ่งแสดงความกังวลเล็กน้อย และกรงเล็บก็ตะปบไวยิ่งขึ้น

เมื่อนึกได้ว่าตัวเองมีเวลาเพียงสิบห้านาที อินชิงเสวียนจึงไม่กล้ามัวโอ้เอ้ รีบเข้าไปในมิติเพื่อตักน้ำให้มัน เมื่อวางลงแล้วก็รีบเดินไปที่โถงหลัก

ไป๋เสวี่ยรีบวิ่งมาดื่มน้ำยังด้านหน้ากะละมัง หางใหญ่แกว่งไปมาควับๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจ

เมื่อดื่มน้ำเสร็จก็พบว่าอินชิงเสวียนออกไปแล้ว ดวงตาของสุนัขมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างมนุษย์เล็กน้อย และมันก็เหยียดอุ้งเท้าใหญ่ออกทันทีเพื่อเริ่มแคะประตู

อินชิงเสวียนได้ยินเสียงนั้นก็หันหลังกลับไปมอง อดไม่ได้ที่รู้สึกสงสารไป๋เสวี่ย

เย่จิ่งอวี้ก็เดินออกมาจากโถงหลักพอดี จึงรีบพูดว่า “ฝ่าบาท พวกเรานำไป๋เสวี่ยไปด้วยได้หรือไม่ สุนัขไม่ควรถูกขังไว้ในกรง เพราะตอนนี้เป็นเวลาที่มันเต็มไปด้วยพละกำลัง ควรพาออกไปเดินเล่นบ่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าอยากพาไป ก็พาไปสิ!”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

อินชิงเสวียนกล่าวขอบคุณ และเปิดประตูโถงด้านข้างออก ไป๋เสวี่ยอแกมาก็ทำท่าเคารพอินชิงเสวียนซ้ำๆ ราวกับรู้ว่านางขอร้องแทนมัน

“พอแล้ว ไม่ต้องไหว้แล้ว”

อินชิงเสวียนลูบที่หัวของมัน จากนั้นก็ยกหูใบใหญ่ของมันขึ้น พร้อมกับพูดเสียงเบาว่า “นอกวังไม่ค่อยปลอดภัย เราคอยคุ้มครองข้าก็พอ”

ไป๋เสวี่ยเห่าออกมา และกระโดดขึ้นรถตามอินชิงเสวียนไป

เย่จิ่งอวี้ตบไป๋เสวี่ยเบาๆ เพื่อให้มันหมอบอยู่ข้างเท้าของตัวเอง

แม้จะมีสุนัขเพิ่มขึ้นมาอีกตัว แต่ทว่าการที่ไม่มีใครพูดอะไร ยังคงทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกอึดอัด

นางกระแอมไปเสียงแห้ง ถามขึ้นอย่างไม่มีมูล “ฝ่าบาท พวกเราจะไปที่ใดกันพ่ะย่ะค่ะ?”

เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งแล้วพูดว่า “ไปชานเมือง”

“ไปที่นั่นทำไมพ่ะย่ะค่ะ?”

อินชิงเสวียนถามขึ้นอีกด้วยความตื่นเต้น

อยู่ในเมืองหลวงยังโดนแทงได้ หากออกไปชานเมือง จะไม่ใช่สวรรค์ของผู้ลอบสังหารหรืออย่างไร?

“หานสือบอกว่ารวงข้าวสาลีสุกหมดแล้ว เตรียมเก็บเกี่ยวในวันนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าจะทำเป็นแป้งหมี่ขาวได้อย่างไร จึงจำเป็นต้องพาเจ้าไปด้วย”

หานสือได้นำกลุ่มลูกน้องมาต้อนรับแล้ว

“กระหม่อมขอถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาทจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”

“ต่างพากันลุกขึ้นเถอะ ข้าได้พาเสี่ยวเสวียนจื่อมาด้วย ให้เขาดูว่าสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้วหรือไม่ และควรทำอย่างไรเมื่อเก็บเกี่ยวเร็จแล้ว เพื่อจะนำไปทำแป้ง”

หานสือยินดีปรีดาทันที

“จำได้ว่าเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงพูดว่า รวงข้าวสาลีสีเหลืองทอง หมายถึงสุกแล้ว ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองทั้งหมดแล้ว กงกงน้อยรีบมาดูเถอะขอรับ”

อินชิงเสวียนมองไปที่พื้นและเห็นว่ามันเป็นสีทองจริงๆ

เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ รวงข้าวสาลีอวบอิ่มเต็มเมล็ด มันสุกแล้วจริงๆ

เพียงแต่ไม่เคยคาดคิดว่าข้าวสาลีในมิติจะสุกเร็วขนาดนี้ อาจเป็นเพราะฝนตกหนักในตอนนั้น

เมื่อคิดว่าข้าวสาลีเหล่านี้สามารถหยั่งรากและงอกงามได้ในยุคที่แปลกประหลาดเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกภูมิใจในความสำเร็จขึ้นมาเล็กน้อย

“รวงข้าวสาลีเหล่านี้สามารถตัดได้ด้วยมีด จากนั้นค่อยสร้างหินโม่ขนาดใหญ่ขึ้นมา เพื่อใช้บดเมล็ดข้าวสาลีให้เป็นผง ทิ้งคมปลายของรวงข้าวสาลี และผงสีขาวที่เหลือก็คือแป้งที่กินได้”

หานสือก็ไม่เคยรู้จักหินโม่มาก่อน โดยพื้นฐานแล้วอาหารที่พวกเขากินในยุคนี้ไม่ค่อยผ่านการแปรรูป ถึงจะแปรรูปแต่ก็ต้องถูด้วยมือมนุษย์ อีกทั้งพวกเขาไม่เคยรู้ว่าสามารถใช้เครื่องมือได้

อินชิงเสวียนใช้แท่งไม้วาดรูปเครื่องโม่บนพื้น และอธิบายหลักการทำงานให้หานสือฟัง นายท่านอาวุโสผู้นี้ก็ฟังเข้าใจในทันที

อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมเชย “เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงช่างเก่งเหลือล้น สามารถคิดวิธีการฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ได้ ข้าเลื่อมใสโดยแท้!”

ด้านหลัง มุมปากของเย่จิ่งอวี้ยกขึ้นเล็กน้อย ทุกครั้งที่ได้ยินผู้อื่นกล่าวชื่นชมเสี่ยวเสวียนจื่อ เขาต่างก็อดดีใจไม่ได้

หานสือเป็นผู้ที่ทำงานในทางปฏิบัติ เขาแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่มทันที กลุ่มหนึ่งตัดเมล็ดพืช และอีกกลุ่มค้นหาหินขนาดใหญ่และสร้างหินโม่ และนำหินโม่สร้างไว้ใกล้กับแปลงที่ดิน เพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น

เย่จิ่งอวี้ยืนอยู่บนขอบทุ่ง มองดูนายทหารและพลทหาร พร้อมทั้งประชาชนที่กำลังเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในระยะไกล คิ้วของเขาคลายออก ดวงตาสงบลง และขอบคมของใบหน้าก็อ่อนโยนลงมากในทันใด

อินชิงเสวียนหันตัวกลับมา อดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย

นางไม่เคยเห็นเย่จิ่งอวี้ในท่าทางเช่นนี้

แม้ว่าจะเห็นเขายิ้มเป็นครั้งคราว แต่ดวงตาของเขาก็ยังแฝงไปด้วยความเย็นชาแปลกแยก ราวกับว่าไม่มีอะไรสามารถเข้าสู่โลกภายในใจของเขาได้

เย่จิ่งอวี้ในวันนี้กลับสุภาพอ่อนโยนสูงส่งสง่างามดุจหยกอันล้ำค่า ทำให้คนคิดอยากเข้าไปใกล้อย่างอดไม่ได้

ความคิดเช่นนี้ทำให้อินชิงเสวียนตกใจในทันที

ความงามเป็นเพียงเปลือกนอก คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือฮ่องเต้น้อยที่สั่งให้เจ้าของร่างเดิมต้องอยู่ในวังเย็น และเนรเทศพ่อของนางไปที่เมืองซุ่ยหาน รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ไม่อาจหลอกนางได้

เย่จิ่งอวี้หันหน้ากลับมา

“ไปเดินเล่นที่หมู่บ้านใกล้กับข้าหน่อย ข้าอยากเห็นความเป็นอยู่ของชาวบ้าน”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์