ณ ตำหนักฉือหนิง
ชุยไห่เฝ้าเวรดึกอยู่ด้านนอก ทันใดนั้นเขาเห็นสัญญาณไฟแจ้งเหตุถูกจุดอยู่ไกลๆ จึงวิ่งเข้าไปในห้องโถงด้านในทันที
“ไทเฮา ที่หอสวดมนต์มีการจุดสัญญาณไฟแจ้งเหตุพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าอาจเกิดเรื่องขึ้น”
ไทเฮายังไม่หลับ มีลู่จิ้งเสียนอยู่ข้างๆ ด้วย
วันนี้อินชิงเสวียนถูกจับ ทั้งคู่ตื่นเต้นมาก กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า
เมื่อได้ยินว่ามีการจุดสัญญาณไฟแจ้งเหตุในหอสวดมนต์ ไทเฮาก็ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าคืนนี้วังหลังต้องไม่สงบ ชุยไห่เจ้านำทหารองครักษ์ในวังไปที่นั่นก่อน ข้าจะตามไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อคิดว่าเย่จิ่งเย่าก็ไปที่หอสวดมนต์เช่นกัน ก็อดกังวลไม่ได้ เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเขา
“เสียนเอ๋อร์ รีบไปดูกันเถอะ”
ไทเฮาคว้าแขนของลู่จิ้งเสียน แล้วเดินออกไปที่ประตู
ซึ่งในเวลานี้เอง เย่จิ่งเย่าเดินไปได้ห้าก้าวสามก้าวก็หยุกพักนั่งหนึ่งที
อินชิงเสวียนใส่ผงสลอดลงในเค้ก ตอนนี้มันก็ออกฤทธิ์แล้ว เย่จิ่งเย่ากินมากที่สุด จึงออกฤทธิ์เร็วกว่าคนอื่น ทันทีที่ลุกขึ้นยืน ท้องก็เริ่มปวดขึ้นทันที
ด้านไทเฮาที่ออกจากตำหนักฉือหนิงแล้ว หลังจากเดินไม่กี่ก้าวนางก็รู้สึกไม่สบายท้อง
“ไม่ไหลแล้ว กลับก่อน”
ไทเฮากุมท้องเดินกลับตำหนักฉือหนิง
ลู่จิ้งเสียนก็ทนไม่ไหวเช่นกัน เมื่อกลั้นไม่ไหวนางก็ทิ้งไทเฮาวิ่งกลับตำหนักไปเสียดื้อๆ
ทันทีที่เข้าไปในตำหนัก ต่างก็ผลัดกันเดินเข้าเดินออกไม่หยุด
ครึ่งชั่วยามต่อมา ในที่สุดไทเฮาก็มาถึงเก้าอี้นวมยาว แล้วพูดอย่างอ่อนแรง “ข้าไปกินอะไรมาเนี่ย”
หัวหน้านางกำนัลกล่าวว่า “ไทเฮาเพิ่งกินเค้กไปเพคะ ไม่ได้กินอย่างอื่น”
พอดีกับลู่จิ้งเสียนที่เดินกุมท้องเข้ามา พูดอย่างเคียดแค้นว่า “ต้องเป็นนังแพศยาสวีจือย่วนนั่นแน่ๆ ที่ต้องการจะทำร้ายพวกเรา”
ไทเฮาขมวดคิ้ว มองดูเค้กที่เย่จิ่งเย่าไม่ได้เอาไป แล้วสั่งนางกำนัลว่า “เจ้าก็กินด้วยหนึ่งชิ้น”
นางกำนัลไม่กล้าปฏิเสธ จึงกินไปชิ้นเล็กๆ แล้วครึ่งชั่วยามต่อมาก็เริ่มปวดท้องเช่นกัน
ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “นังแพศยาสวีจือย่วน ถึงกับกล้าลงมือทำร้ายข้า รอให้เรื่องของอินชิงเสวียนยุติลงก่อนเถอะ ข้าค่อยสั่งสอนนางให้ดี”
ลู่จิ้งเสียนกล่าวสมทบขึ้นทันที “นังแพศยานั่นแค่มองดูก็รู้ว่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย วันๆ เอาแต่คิดหาวิธียั่วยวนฝ่าบาท เสด็จต้องไม่ปล่อยนางไปนะเพคะ”
“เจ้าหุบปากไปซะ ข้าปวดท้องขึ้นมาอีกแล้ว”
ไทเฮากุมท้องลุกขึ้นยืน แล้วลู่จิ้งเสียนก็เดินตามนางออกไป...
ขณะที่ภายนอกเกิดความวุ่นวาย อินชิงเสวียนกลับกำลังนอนหลับอย่างสงบ
อุณหภูมิในมิติกำลังสบาย สายลมที่พัดเอื่อยๆ คลอใบหน้าเป็นเหมือนมือของแม่ทำให้รู้สึกสบายใจ
นอนหลับฝันดีตลอดคืน
อินชิงเสวียนยืดตัวบิดคลายกล้ามเนื้อ แล้วลุกขึ้นจากพื้น
รู้สึกเหมือนมีพลังเต็มเปี่ยม ร่างกายสดชื่นขึ้น
เมื่อหันกลับไปก็พบว่าพืชผลสุกงอมแล้ว
อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ นางให้มิติทำการเก็บเกี่ยว จากนั้นก็หว่านใหม่
หลังจากรดน้ำด้วยน้ำพุวิญญาณ เมล็ดพืชก็หยั่งรากและแตกหน่อทันที
แม้ว่าอินชิงเสวียนจะรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่นางก็มิวายตื่นเต้นประหลาดใจเมื่อเห็นใบไม้สีเขียวขจี
นางเดินไปที่ขอบคันนา ก้มลงแตะใบไม้สีเขียว และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากมิติ
“พืชพันธุ์สัมผัสได้ถึงความสุขของผู้อาศัย การเจริญเติบโตเต็มที่ เพิ่มการผลิต 50% ขยายพื้นที่มิติ 500 ตารางเมตร ได้รับรางวัล 500 คะแนน”
หลังจากเสียงจบลง อินชิงเสวียนพบว่ามิติใหญ่ขึ้น ด้านข้างก็มีพื้นที่รกร้างขนาดใหญ่อยู่
โห แบบนี้ก็ได้ด้วย?
ขณะที่กำลังคิดอยู่ จู่ๆ ก็มีคนปรากฏตัวขึ้นด้านนอกมิติ
เป็นเสวียนเจินและแม่ชีกลุ่มหนึ่งนั่นเอง
อินชิงเสวียนมาที่หน้าจอทันที เห็นแม่ชีเหล่านั้นตรวจดูทุกที่ในห้องอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วถามว่า “ท่านอาจารย์ ถ้าเราหาเหยาเฟยนั่นไม่เจอจริงๆ เราควรทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ”
เสวียนเจินพูดเบาๆ “นางไม่น่าจะหนีออกจากหอสวดมนต์ได้ ประเดี๋ยวลองปิดประตูแล้วค้นหาอีกครั้ง ยังเหลือเวลาอีกสองวัน ขอเพียงนางออกไปไม่ได้ ทุกอย่างก็ไม่น่าห่วง”
“เจ้าค่ะ พวกเราจะไปค้นหาเดี๋ยวนี้”
แม่ชีทุกคนรับคำแล้วเดินออกไป
ทว่าเสวียนเจินกลับนั่งขัดสมาธิลงในห้อง วางมือทั้งสองข้างบนเข่า และหลับตาลง
ถ้านางไม่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา อินชิงเสวียนคงคิดว่าเขาเป็นพระผู้อรหันต์จริงๆ
ตอนนี้เสวียนเจินอยู่ใกล้นางมาก อินชิงเสวียนอยากจะถือกระบองไฟฟ้าออกไปทิ่มใส่เขาสักหน แต่ก็กลัวว่าเสวียนเจินจะรู้วรยุทธ์ และถ้าเขาจับนางได้จะไม่สามารถเข้าไปในมิติได้
ท้ายที่สุดอินชิงเสวียนก็อดทนไว้
ตอนนี้นางยังไม่ต้องการใช้คะแนนเพื่อแลกพลังนั้น เงินจะต้องถูกใช้อย่างชาญฉลาดเพื่อที่จะได้ไม่สูญเปล่า
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เสวียนเจินก็ลุกขึ้นยืน
เขายืนนิ่งอยู่ในห้องสักพัก แล้วก็ออกไปอีกครั้ง
และในเวลานี้ ข่าวลือที่ว่าพระสนมเหยาเฟยเป็นปีศาจร้ายก็มีคนหวังดีนำเรื่องไปแพร่กระจายทั่วทุกมุมถนน และได้กลายเป็นเรื่องเล่าตลกหลังอาหารเย็นในหมู่ราษฎรทันที
“ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนพระสนมเหยาเฟยปลอมตัวเป็นขันที ปะปนอยู่ข้างกายฝ่าบาท ที่แท้ก็เป็นปีศาจนี่เอง”
“ถูกต้อง เมื่อหลายปีก่อนเสวียนเจินไต้ซือเคยจับจิ้งจอกได้ตัวหนึ่ง คราวนี้เขาก็คงจะจับได้อีกตามเคย”
“คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะลุ่มหลงปีศาจร้าย เป็นฮ่องเต้โฉดจริงๆ!”
“มิน่าล่ะต้าโจวเราปีนี้ถึงมีทั้งประสบภัยแล้งและการระบาดของตั๊กแตน คงเกิดจากปีศาจร้ายตัวนั้นแน่ๆ”
มีชายคนหนึ่งที่แต่งกายเป็นคนรับใช้นั่งอยู่ในโรงน้ำชา เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็เม้มปากแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังจวนอันผิงอ๋องทันที...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...