อินชิงเสวียนเรียกอวิ๋นฉ่ายเข้ามา ให้นางนำสาวใช้และแป้งมาด้วย ส่วนตัวเองก็เข้าไปในมิติและเก็บเงินให้ดี
ตอนนี้นางเก็บสะสมเงินได้ไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ความปรารถนาของคนไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เคยพึงพอใจกับความต้องการในเงินตรา ตอนที่มีร้อยตำลึงก็อยากได้พันตำลึง เมื่อมีพันตำลึงก็ขวนขวายจะเอาหมื่นตำลึง ตอนนี้อินชิงเสวียนก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินนับหมื่นตำลึง แต่กลับอยากได้มากกว่านั้น โดยเฉพาะไข่มุกที่ส่องประกายเหล่านั้น เพียงแค่มองก็หาได้ยากยิ่ง
อินชิงเสวียนกอดไข่มุกเม็ดโตของนางแล้วจูบมันสองครั้ง จากนั้นก็เก็บเกี่ยวพืชผลเป็นชุด เนื่องจากนางต้องการขายเมล็ดพันธุ์ อินชิงเสวียนไม่ได้แปรรูปสินค้าในรอบนี้ จากนั้นก็ได้ค้นพบข้อดี การเก็บเกี่ยวที่ดินหลังจากที่ได้อัพเกรด จะได้คะแนนสะสมถึงห้าร้อยแต้ม
หากอัพเกรดอีกสองสามครั้ง คะแนนสะสมก็จะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย ดูเหมือนว่าความต้องการที่จะซื้อปืนก็มีความเป็นไปได้บ้างแล้ว บางทีอาจจะสามารถเอารถถังขับออกไปได้
เดิมทีนางปล่อยให้มิติทำงานตามอิสระ จู่ๆ ตอนนี้นางกลับมีความหวังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
อินชิงเสวียนปลูกพืชผลด้วยความดีใจ หลังจากรดน้ำด้วยน้ำพุวิญญาณแล้ว ต้นกล้าเล็กๆ ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว อินชิงเสวียนกล่าวชื่นชมต้นไม้สีเขียวเล็กๆ เหล่านี้ จากนั้นออกจากมิติด้วยความพึงพอใจ
อวิ๋นฉ่ายได้เริ่มอบเปี๊ยะแล้ว เดิมทีควรกินคู่กับน้ำซุปร้อนๆ แต่เมื่อนึกถึงอากาศที่ร้อนเกินไป อินชิงเสวียนจึงให้พวกนางทำอาหารร้อนสองอย่าง และทำสลัดเย็นอีกสองอย่าง อย่างน้อยก็เป็นอาหารของฝ่าบาท จะทำแบบถูๆ ไถๆ ก็คงไม่ได้
เมื่อสั่งงานเสร็จแล้วก็กลับเข้าไปในตำหนัก
เมื่อเห็นซูฉ่ายเวยกำลังนวดให้เย่จิ่งอวี้อย่างพึงพอใจสุดๆ เย่จิ่งอวี้ก็มีท่าทีเพลิดเพลินอย่างมาก จึงถอยออกไป
เมื่อลองสำรวจความรู้สึกของตัวเอง ก็ดูเหมือนจะไม่โกรธสักเท่าไร
นี่หมายความว่าตัวเองไม่ได้ชอบเย่จิ่งอวี้มากนัก อย่างน้อยก็ไม่เหมือนความรู้สึกที่สวีจือย่วนมีต่อพี่ใหญ่
การตระหนักรู้สิ่งนี้ ทำให้อินชิงเสวียนโล่งใจมาก จึงไปเล่นกับเสี่ยวหนานเฟิง
เพียงแต่ลูกติดคนมากเกินไป มักชอบให้อุ้มอยู่เสมอ ผ่านไปไม่กี่นาที แขนของอินชิงเสวียนก็มีอาการชา
นางคิดในใจว่า จำเป็นอย่างมากในการแลกรถเข็นเด็ก การอุ้มแบบนี้ในทุกๆ วันจะทำให้ลูกน้อยร้อนเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าการแลกเปลี่ยนสิ่งของที่ใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยโอกาส และจะสามารถทำได้หลังจากออกจากวังเท่านั้น
ในระหว่างที่คิด อาหารก็เสร็จพอดี
ขณะนั้น เย่จิ่งอวี้นอนหลับอยู่บนเก้าอี้
ทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำทุกวัน งานที่อยู่ตรงหน้าล้วนเป็นงานที่ยังทำไม่เสร็จ ไม่ว่าใครก็เหนื่อยทั้งนั้น แม้ร่างกายของเย่จิ่งอวี้จะแข็งแรงมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถทนต่องานอันไม่มีที่สิ้นสุดได้
ตอนนี้ร่างกายผ่อนคลายแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกง่วงนอน
เมื่อได้ยินเสียงจานชาม เขาก็ตกใจตื่นขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้นอนหลับจนเปลือกตาเป็นสามชั้น อินชิงเสวียนก็มีความรู้สึกแปลกๆ ที่อดไม่ได้
ไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะมีอายุไม่ยืนนาน คงเป็นเพราะเหนื่อยตายกันทั้งนั้น
“ฝ่าบาท อาหารเสร็จแล้วเพคะ ตื่นดีหรือยังเพคะ?” นางยืนถามอยู่ข้างโต๊ะ
สายตาของเย่จิ่งอวี้ค่อยๆ ตื่นขึ้น ลุกขึ้นและพูดว่า “หลิงเฟยต้องลำบากแล้ว”
ซูฉ่ายเวยตกใจที่รับความเมตตาที่คาดไม่ถึง จึงค้อมตัวลงและพูดว่า “นี่คือสิ่งที่หม่อมฉันพึงกระทำเพคะ หากว่าฝ่าบาทไม่สบายตรงไหน ทรงเรียกหม่อมฉันได้ตลอดเวลาเลยนะเพคะ”
“อืม ข้าจะจำไว้”
เย่จิ่งอวี้ทำความสะอาดมือ และนั่งลงข้างโต๊ะ
ซูฉ่ายเวยมองดูแผ่นเปี๊ยะที่เดือดปุดๆ ด้วยน้ำมัน ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเต็มปากและอยากจะลองกัดดูสักคำ
แต่กลับพูดขัดกับความประสงค์ของตัวเอง “ในเมื่อฝ่าบาทจะเสวยอาหาร หม่อมฉันก็ไม่รบกวนแล้วเพคะ ขอทูลลาเพคะ”
เมื่อเห็นนางจ้องเปี๊ยะ อินชิงเสวียนก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก
ลูกค้ารายใหญ่แบบนี้ ต้องให้รางวัลเสียหน่อย
“คำเชิญยังสู้ไม่ได้กับการพบปะโดยบังเอิญ หากน้องหลิงเฟยไม่รังเกียจก็อยู่กินด้วยกันก่อนสิ”
ซูฉ่ายเวยถามด้วยความตื่นเต้น “คือว่า... ได้หรือเพคะ?”
อินชิงเสวียนแตะแขนของเย่จิ่งอวี้เบาๆ หนึ่งที และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อน “ฝ่าบาท พระองค์พูดอะไรหน่อยสิเพคะ”
เย่จิ่งอวี้เงยหน้ามองอินชิงเสวียน เมื่อเห็นว่านางไม่มีท่าทีไม่พึงพอใจ จึงพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเหยาเฟยอยากให้เจ้าอยู่ต่อ เจ้าก็อยู่ต่อสิ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยพระนางเหยาเฟย”
ซูฉ่ายเวยไม่สนใจว่าใครต้องการให้นางอยู่ต่อหรือไม่ ของอร่อยใครจะไม่อยากกิน จึงรีบนั่งลงทันที
นางคีบเปี๊ยะไปหนึ่งแผ่น เมื่อลองกัดเข้าไปหนึ่งคำ ก็อดที่จะพยักหน้าไม่ได้
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “พาฉินเทียนและหลี่ชีไปด้วย ข้าจะส่งคนแอบตามไปคุ้มกันเจ้า”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท หากหม่อมฉันได้กำไร จะแบ่งให้ฝ่าบาทด้วยนะเพคะ”
อินชิงเสวียนยิ้มราวกับสุนัขจิ้งจอกน้อยที่ขโมยเนื้อมาได้
เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้ว และพูดแกมหยอกล้อ “ทำใจได้หรือ? ข้ารู้สึกว่าเจ้าเห็นเงินแล้วดีใจเสียยิ่งกว่าเห็นข้าอีก”
อินชิงเสวียนหัวเราะแห้งๆ “ฝ่าบาทตรัสไม่ถูกต้องนะเพคะ มีฝ่าบาทอยู่ด้วย หม่อมฉันจึงทำเงินได้มากมายเช่นนี้”
เมื่อเห็นคิ้วที่มีชีวิตชีวาของนาง เย่จิ่งอวี้ก็อดใจเต้นขึ้นมาไม่ได้ เขาเหยียดนิ้วออก และเกาสันจมูกตรงของนางหนึ่งที
“เจ้าพูดจริงงั้นหรือ?”
อินชิงเสวียนย่นจมูกแล้วพูดว่า “จริงแท้แน่นอนเพคะ”
เย่จิ่งอวี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ข้าเชื่อเจ้าก็ได้ ข้าจะรอเจ้าทำเงินก้อนโตให้ข้า”
เขากลางชุดคลุมออก ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าควรกลับห้องหนังสือแล้ว”
อินชิงเสวียนรีบค้อมตัวลงและพูดว่า “หม่อมฉันขอทูลลาฝ่าบาท”
เย่จิ่งอวี้โบกมือ และเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม
วันต่อมา
อินชิงเสวียนปลอมตัวออกจากวัง และตรงไปที่ร้านของหลิวเหล่าไท่ไท่
ถามอย่างตรงไปตรงมา “ติดต่อกับผู้ที่ซื้อเมล็ดพันธุ์คนนั้นได้แล้วหรือยัง?”
ทันทีที่พูดจบ ร่างงามสวมกระโปรงผ้าแพรสีดำก็เดินเข้ามาจากด้านนอกประตู คนคนนั้นคือฟางรั่ว เบอร์หนึ่งแห่งเรือนจุ้ยหง
เมื่อเห็นอินชิงเสวียน นางก็ตกใจเล็กน้อย
“เจ้านี่เอง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...