สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 279

ขนตาของเย่‍จิ่ง‍อวี้สั่นเบาๆ แล้วเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

สายตาของเขายังคงพร่ามัวเล็กน้อย สามารถมองเห็นคนสองคนที่อยู่ตรงหน้าได้รางๆ

แล้วเขาก็ถามอย่างอ่อนแรง “ที่นี่ที่ไหน”

เย่จั้นรีบตอบ “นี่คือตำหนักเฉิงเทียนในวังหลวง”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ตอบรับเบาๆ หลับตาแล้วพูดด้วยเสียงงัวเงีย “ดูเหมือนข้าจะฝันไป...ข้าฝันถึงเสวียน‍เอ๋อร์...”

เมื่อได้ยินเขาพูดถึงชื่อของตัวเอง อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าลำคอตีบตัน อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากแรง

“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งพูดเลย รีบพักผ่อนให้มากๆ เถิด”

เย่‍จิ่ง‍อวี้มองมาทางนางทันที

“เสวียน‍เอ๋อร์?”

แล้วเขาก็ส่ายศีรษะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงระโหยโรยแรงว่า “ข้าคงฝันไปอีกแล้ว นางเกลียดข้าถึงเพียงนั้น นางจะมาหาข้าได้อย่างไร”

หลังจากพูดจบ เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็หลับลึกอีกครั้ง

อินชิงเสวียนจับมือของเขา ในใจรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบทนไม่ไหว

นางหายใจเข้าลึกๆ อดทนต่อความร้อนในดวงตา แล้วพูดโดยไร้สุ้มเสียง เย่‍จิ่ง‍อวี้ ท่านดีกับข้ามากขนาดนี้ ข้าจะเกลียดท่านได้อย่างไร

เย่จั้นตรวจชีพจรเย่‍จิ่ง‍อวี้อีกครั้งแล้วกระซิบว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงฟื้นได้แล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาปลอดภัยแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่าบาทเห็นเจ้าแล้วรู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจ เจ้ากลับไปจวนอ๋องของข้าก่อนดีกว่า หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นข้าจะส่งคนไปแจ้งให้เจ้าทราบเอง”

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดเมื่อครู่ อินชิงเสวียนก็พยักหน้าอย่างจำใจ

“เช่นนั้นก็ขอรบกวนท่านอ๋องด้วย!”

เย่จั้นพูดเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของฝ่าบาท ความผิดที่โดนใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม ข้าจะหาโอกาสช่วยเจ้าอธิบายเอง”

อินชิงเสวียนเหลือบมองที่เตียง ยิ้มอย่างขมขื่น และพูดว่า “รอจนกว่าอาการของฝ่าบาทจะคงที่ก่อนค่อยพูดเถอะ อ้อจริงสิ ยาที่กินก่อนหน้านี้ก็ไม่ต้องให้เสวยแล้ว รบกวนท่านอ๋องเอายาสองชนิดนี้ให้ฝ่าบาทเสวย เสวยเช้าเย็นครั้งละสองเม็ด”

“ข้าจำได้แล้ว”

เย่จั้นปรบมือไปที่ประตู แล้วทหารหน่วยเปลวเพลิงสีชาดสองคนก็เข้ามาทันที

อินชิงเสวียนมองเย่‍จิ่ง‍อวี้อย่างอาลัยอาวรณ์ ถอนหายใจเบาๆ และออกจากวังพร้อมกับทหารหน่วยเปลวเพลิงสีชาด

ทั้งสองจัดแจงให้นางไปพักที่เรือนด้านหลัง ซึ่งค่อนข้างเงียบสงบ

อินชิงเสวียนกลล่าวขอบคุณ และหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเสี่ยว‍หนาน‍เฟิง

เจ้าอ้วนตื่นขึ้นแล้ว กำลังนั่งอยู่ในรถเข็นเด็กและบีบหูใหญ่ๆ ของไป๋เสวี่ย

ไป๋เสวี่ยก็ทำหน้าแสนเชื่อง โดยวางศีรษะบนรถเข็นเด็ก ปล่อยให้เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงบีบเคล้นได้ตามสบาย

ยายหลี่กำลังยุ่งอยู่กับการทำความสะอาดภายในห้อง ในขณะที่อวิ๋นฉ่ายและเสี่ยวอานจื่อกำลังทำความสะอาดอยู่ด้านนอกตำหนัก ส่วนขันทีและนางกำนัลคนอื่นๆ นั่งอย่างเกียจคร้านบนศาลา นั่งดูพวกเขาทั้งสองทำงาน

สีหน้าของอินชิงเสวียนเย็นชา ตรงตามที่คาดไว้ คนส่วนใหญ่ในวังเป็นคนไร้น้ำใจ หากนางสามารถกลับตำหนักจินหวูได้ นางจะเปลี่ยนตัวพวกคนใฝ่สูงแต่ฝีมือไม่ถึงพวกนี้ออกไปให้หมด

เมื่อคิดถึงคำพูดของเย่จั้นที่บอกว่า ‘เว้นแต่ว่าเจ้าจะขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮาได้’ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัด

นางได้ทุ่มเทไปเพื่อต้าโจวเช่นกัน ฉะนั้นจะยอมให้คนชาติชั่วอย่างเย่จิ่งเย่าชุบมือเปิบไม่ได้

เย่จั้นพูดถูก มีเพียงนางต้องเป็นฮองเฮาเท่านั้น เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงถึงจะกลายเป็นโอรสสายตรง

ไม่ว่าจะได้รับการแก้ไขสถานะให้ถูกต้องหรือไม่ก็ตาม เพื่อต้าโจว และความทุ่มเทของตัวเอง นางจึงต้องขึ้นเป็นฮองเฮา เพื่อให้ลูกชายของเจ้าของร่างเดิมเป็นโอรสสายตรงให้จงได้

เมื่อคิดได้ดังนี้ อินชิงเสวียนก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

บางทีจุดจบในอนาคตของนางอาจจะสามารถเอ้อระเหยลอยชายไปท่ามกลางภูเขาแม่น้ำได้ แต่เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงจะต้องได้เป็นรัชทายาท เชื่อว่านี่จะต้องเป็นสิ่งที่เจ้าของร่างเดิมอยากเห็น!

หลังจากดูเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงในกล้องวงจรปิดมาระยะหนึ่งแล้ว อินชิงเสวียนก็เริ่มรู้สึกง่วงนอน

เมื่อวานไม่ได้นอนทั้งคืน ตอนนี้รู้สึกผ่อนคลายแล้ว แต่มิวายมึนหัวนิดหน่อย เลยถอดรองเท้าแล้วเข้านอน

ขณะที่อินชิงเสวียนหลับไป เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

ในเวลานี้ ยาชาค่อยๆ หมดฤทธิ์ลง และความเจ็บปวดที่เสียดแทงหัวใจก็ค่อยๆ ทำให้เขารู้สึกตัวตื่นขึ้น

“หลี่เต๋อฝู”

เขาดันตัวเองลุกขึ้นและพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่เย่จั้นจับเขาให้นอนบนเตียง

“ขอบคุณเสด็จอา ข้าอยากอยู่เงียบๆ สักพัก เชิญเสด็จออกไปก่อนเถอะ”

เย่จั้นเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “ก็ได้ กระหม่อมจะแจ้งเรื่องที่ฝ่าบาททรงฟื้นให้เหล่าขุนนางทราบ หวังว่าฝ่าบาทจะไม่คิดมาก และพักผ่อนให้มากๆ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ขานรับเบาๆ แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น

ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่โดนแทง ยังเจ็บปวดเท่ากับความเจ็บปวดในใจ

ซึ่งเป็นความเจ็บปวดที่บีบคั้นหัวใจ เจ็บปวดจนทำให้เย่‍จิ่ง‍อวี้ตัวสั่นไปทั้งร่าง บนหน้าผากมีเส้นเลือดหลายเส้นโผล่ขึ้นมา

เขารู้ว่าตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังเย็นมาหนึ่งปี ทำให้อินชิงเสวียนปล่อยวางได้ยาก เขาก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะชดเชยให้นางแล้ว แม้ว่าเขาจะรู้ว่าอินสิงอวิ๋นหนีออกจากเมืองซุ่ยหาน เขาก็ไม่ได้ตามเรื่องนี้ไปถึงตระกูลอิน

หลังจากได้รู้จักฐานะที่แท้จริงของอินชิงเสวียนแล้ว เขาก็ระมัดระวังและต้องการสร้างความสัมพันธ์เก่ากับนางขึ้นมาใหม่ แต่ไม่คิดว่าที่ทำทั้งหมดนี้ กลับกลายเป็นเพียงเรื่องตลกในสายตาของนางเท่านั้น

มิน่านางถึงไม่ต้องการให้ตัวเองใกล้ชิด นางไม่เคยมีความรู้สึกใดๆ กับเขาเลยแม้แต่น้อย!

เมื่อนึกถึงการปฏิเสธของนาง และคำพูดที่ทำร้ายจิตใจ เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็รู้สึกถึงรสเค็มในปาก แล้วก็มีเลือดไหลออกมาจากริมฝีปากของเขา

หลี่เต๋อฝูบังเอิญเดินเข้ามาจากประตู เมื่อเห็นเลือดที่มุมปากของฮ่องเต้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้อง “ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์จึงอาเจียนเป็นเลือด”

ทว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้กลับรู้สึกหน้ามืด แล้วก็หมดสติไปอีก

เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว

พอมองเห็นกลุ่มหมอหลวงที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าเตียง เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที

“ทุกคนออกไปให้หมด ออกไปเดี๋ยวนี้!”

หมอหลวงเหลียงตกใจ อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่จั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ

เย่จั้นโบกมือ แล้วทุกคนก็ถอยออกจากห้องโถงด้านในทันที

เย่จั้นเดินไปที่เตียง กล่าวปลอบโยนเขาด้วยเสียงอันอบอุ่น “หัวใจของฝ่าบาทได้รับความเสียหาย ฉะนั้นอย่าทรงกริ้วอีก”

จู่ๆ เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้ อดไม่ได้ที่จะคว้าแขนเสื้อของเย่จั้น

ถามอย่างอ่อนแรง “จ้าวเอ๋อร์ล่ะ นางคงไม่ได้พาลูก...ออกไปด้วยนะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์