สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 295

ณ ตำหนักฉู่เยว่

พระอาทิตย์เพิ่งลับขอบฟ้า ตำหนักฉู่เยว่ก็ปิดประตูตำหนักแล้ว

เห็นได้ว่า สองแม่ลูกคู่นี้ถ่อมตัวมากเลยทีเดียว

เพียงแต่ทุกครั้งที่เห็นตัวอักษรสามตัวนี้ อินชิงเสวียนต่างก็นึกถึงพระปีศาจเสวียนเจินผู้นั้น

วันนั้นตอนที่เขาตาย สิ่งที่มองเห็นคือตรงนี้ไม่ผิดแน่ ไม่รู้ว่าเขาและอันไท่ผินมีความสัมพันธ์อะไรกัน?

เมื่อคิดฟุ้งซ่านอยู่ครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็พยักหน้าให้กับเสี่ยวอานจื่อ

“ไปเคาะประตูเรียกสิ”

เสี่ยวอานจื่อรีบไปเคาะประตู เพียงครู่หนึ่งก็มีคนถามขึ้น “ผู้ใด?”

“เหยาเฟยเหนียงเหนียงแห่งตำหนักจินหวู ฝูอี้อ๋องโปรดมาพบด้วย”

ด้านในเงียบเสียงลงทันที คาดว่ากำลังไปรายงานให้ทราบ

เพียงเวลาสิบห้านาที ประตูก็เปิดออกดังเอี๊ยด

เย่จิ่งหลานที่สวมชุดผ้าสีแดงเข้มปรากฏตัวที่ประตู เมื่อเห็นอินชิงเสวียน เย่จิ่งหลานก็ยิ้มขึ้นที่มุมปาก

“ขอถวายบังคมเสด็จพี่สะใภ้”

อินชิงเสวียนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องเกรงใจ ข้าเพียงเอาของเล็กน้อยมาให้ท่าน”

เสี่ยวอานจื่อยื่นทุเรียนไปให้ในทันที แม้มันจะมีกลิ่นเหม็น แต่รสชาติมันช่างหอมหวานเสียจริง เมื่อนึกถึงรสชาติหวานละมุนของทุเรียน เสี่ยวอานจื่อก็กลืนน้ำลายอึกๆ

เย่จิ่งหลานรับถุงผ้าไว้ และได้กลิ่นของทุเรียนในทันที

“ทุเรียนงั้นหรือ? เสด็จพี่สะใภ้มีของแบบนี้ด้วย?”

อินชิงเสวียนหัวเราะร่าและพูดว่า “เพคะ หากท่านอ๋องชอบ ข้ายังมีอีกนะเพคะ”

เย่จิ่งหลานส่ายหน้าและพูดด้วยความซึ้งใจ “ท่านช่างดีเหลือเกิน เมื่อก่อนข้าไม่เคยทำใจซื้อมันได้ลง ตอนนี้ก็เหมือนกัน”

เขาสามารถแลกในมิติของตัวเองได้ แต่คะแนนสะสมหาได้ยาก เขาจึงตัดใจแลกไม่ได้เช่นกัน

อินชิงเสวียนเข้าใจความหมายของเขาในทันที

“เช่นนั้นต่อไปข้าจะให้คนมาส่งให้ท่านอ๋องบ่อยๆ”

เย่จิ่งหลานยิ้มแหะๆ และพูดว่า “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ เสด็จพี่สะใภ้รีบเข้าในตำหนักเถอะ”

เขายื่นทุเรียนให้กับขันทีน้อยที่อยู่ด้านหลัง และเดินนำอินชิงเสวียนเข้ามาในบ้าน

บนแท่นบูชาในวันนั้น อินชิงเสวียนมองเห็นรอบบ้านหมดแล้ว

บ้านแห่งนี้ไม่ได้สวยงามมากนัก ดอกไม้และต้นไม้ที่ปลูกก็ดูธรรมดามาก แต่มีการจัดวางอย่างเป็นระเบียบและสะอาดมาก

หญิงวัยกลางคนที่แต่งกายอย่างสง่างามผ่าเผยยืนอยู่ที่ประตู สวมกระโปรงสีเรียบๆ กลับมีท่าทางอันสง่างามละเมียดละไม จากใบหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยเสน่ห์ ดูออกไม่ยากว่าตอนที่อันไท่ผินเป็นสาวแรกรุ่น นางก็เป็นสาวงามคนหนึ่ง

เย่จิ่งหลานเดินมาข้างกายของผู้หญิง ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “นี่คือท่านแม่ของข้า”

อินชิงเสวียนรีบค้อมตัวถวายความเคารพ

“ขอถวายบังคมอันไท่ผิน”

ผู้หญิงคนนั้นยื่นมือที่ขาวและนุ่มออกมา แล้วจับอินชิงเสวียนไว้

พูดด้วยรอยยิ้มที่มีเมตตา “รีบลุกขึ้นเถิด ได้ยินหลานเอ๋อร์บอกว่าท่านคือ เหยาเฟยเหนียงเหนียงที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งใหม่ ช่างเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นเหลือเกิน!”

อินชิงเสวียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ถ่อมตน “อันไท่ผินชมเกินไปเพคะ หม่อมฉันรูปร่างหน้าตาธรรมดา เพียงแค่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทก็เท่านั้น”

อันไท่ผินยิ้ม “ได้ยินว่าท่านมอบเมล็ดพันธุ์ให้แก่ต้าโจว และยังแก้ไขภัยพิบัติตั๊กแตนในราชสำนักด้วย ต้องเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดแน่นอน ไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะรักท่านมากเช่นนี้”

“ล้วนเป็นสิ่งที่หม่อมฉันพึงกระทำเพคะ อันไท่ผินกล่าวชื่นชมเช่นนี้ กลับทำให้หม่อมฉันรู้สึกอับอาย”

เย่จิ่งหลานพูดขึ้นข้างๆ “เสด็จพี่สะใภ้ฉลาดกว่าผู้ใดจริงๆ ข้าควรเรียนรู้จากเสด็จพี่สะใภ้ให้มาก จึงจะพัฒนาตนเองได้”

อันไท่ผินมองลูกชายด้วยความรักและเมตตา

“หากเจ้าตั้งใจเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดี เช่นนั้นจงหมั่นขอความรู้จากเสด็จพี่สะใภ้ของเจ้าเถอะ”

พูดจบก็พูดกับอินชิงเสวียนว่า “หลานเอ๋อร์นิสัยไม่ดี หากว่าพูดสิ่งใดผิดไป เหนียงเหนียงอย่าได้ใส่ใจเลย”

“ท่านอ๋องเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดอย่างมากเพคะ หม่อมฉันและท่านอ๋องพบกันครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน อันไท่ผินอย่าได้คิดมากไป พวกเราเพียงพูดคุยเล่นกันเท่านั้นเพคะ”

เมื่อนึกถึงการผ่าตัดพิเศษที่เย่จิ่งอวี้ทำ เย่จิ่งหลานก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมา

อินชิงเสวียนทำสีหน้าตกใจ

“เจ้า... เอาฝ่าบาทเป็นหนูทดลองงั้นหรือ?”

เย่จิ่งหลานมองนางและพูดว่า “เหตุใดต้องใส่ใจเรื่องเหล่านั้น ฝ่าบาทมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่หลักฐานที่ดีที่สุดหรืออย่างไร?”

อินชิงเสวียนทำสีหน้าพูดอะไรไม่ออก ยังคงตกใจหวาดผวา

หากอยู่ว่าเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาผ่าตัดให้เย่จิ่งอวี้

โชคดีที่ผลออกมาดี หมอคนนี้ท่าทางจะเชื่อถือไม่ได้

“เจ้าวางแผนจะศึกษาการแพทย์ไปตลอดชีวิตเลยหรือ? อีกไม่กี่ปีเจ้าก็ต้องไปเปิดจวนของตัวเองแล้ว เจ้าไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือ? เช่นการทำงานในราชสำนัก?”

“ไม่หรอก ข้าไม่มีความสนใจในต้าโจว”

เย่จิ่งหลานพูดทีเล่นทีจริงว่า “นอกเสียจากว่าจะสามารถครองโลกที่นี่ได้ มันก็ยังมีความท้าทายอยู่นิดหน่อย”

“ความฝันของเจ้ายิ่งใหญ่เลยทีเดียวนะ”

“เสด็จพี่สะใภ้เล่า? เตรียมตัวจะอยู่ในวังใช่หรือไม่?”

“ข้า?”

อินชิงเสวียนชะงักไปครู่หนึ่ง ยิ้มและพูดว่า “อาจจะใช่นะ”

“ก็ดี หากเสด็จพี่สะใภ้มีเรื่องเกี่ยวกับแพทย์ศึกษา มาหาข้าได้ทุกเวลาเลยนะ”

“ได้สิ พรุ่งนี้ข้ามีธุระ ข้าขอตัวกลับก่อนนะ”

อินชิงเสวียนพูดจบก็ลุกขึ้นยืน

เย่จิ่งหลานมาส่งนางที่หน้าประตู จนกระทั่งอินชิงเสวียนเดินหายไป เขาจึงเข้าไปในตำหนัก จากนั้นก็หยิบบุหรี่หนึ่งมวนออกมาจากเสื้อ และนั่งสูบบุหรี่ในศาลาหิน

แววตาในดวงตานั้นลึกซึ้ง ซึ่งยากต่อการทำความเข้าใจ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์