สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 322

หลังจากดื่มชาแล้ว เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็แต่งตัวเต็มยศ

ชุดคลุมสีเหลืองอ่อนทำให้เขาดูมีสูงศักดิ์น่าครั่นคร้าม เรียวตาหงส์ดูผ่องใส

เย่จั้นยังคงสวมชุดขาวราวกับหิมะ ปราศจากฝุ่นผงแปดเปื้อน

เขาเดินเข้าไปในห้องโถงชั้นใน กางเสื้อคลุมออก และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

“กระหม่อมเย่จั้น ถวายบังคมฝ่าบาท!”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยื่นมือออกไปช่วยเย่จั้นลุกขึ้น พูดอย่างอบอุ่น “ที่นี่ไม่มีคนนอก เหตุใดเสด็จอาต้องมากพิธีเช่นนี้ เชิญลุกขึ้นเร็ว”

เย่จั้นยืนขึ้น กวาดสายมองสำรวจร่างกายของเย่‍จิ่ง‍อวี้

แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “กระหม่อมได้ยินมาว่ามีคนลอบสังหารในวัง ฝ่าบาทก็ได้รับบาดเจ็บจากการใช้กำลังภายในด้วย ตามหมอหลวงมาหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “พันแผลเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ข้ามีพลังงานเหลือเฟือ ไม่รู้สึกว่าไม่สบายตรงไหนแม้แต่น้อย เสด็จอาไม่ต้องห่วง”

อินชิงเสวียนเหลือบมองใบหน้าของเย่‍จิ่ง‍อวี้ ก็เห็นว่าเขาดูแช่มชื่น สีหน้าดูไม่เลว จึงคิดว่าการแช่ตัวในน้ำพุวิญญาณได้ผลจริงๆ

ช่วงนี้ควรให้เขาแช่น้ำพุวิญญาณทุกวันก็ดี เย่‍จิ่ง‍อวี้ฝึกวรยุทธ์มา ดังนั้นน้ำพุวิญญาณน่าจะช่วยเขาได้

เมื่อนึกถึงตรงนี้ อินชิงเสวียนก็เหลือบมองไปยังเย่จั้น

ถ้าให้เขาแช่น้ำอีกคนล่ะ จะเกิดผลอะไรขึ้นกันนะ

แต่จะคำพูดนี้จะพูดออกไปได้อย่างไร

หลานสะใภ้ชวนอาของสามีอาบน้ำ แค่คิดก็รู้สึกกระดากใจแล้ว

ไว้มีโอกาสค่อยว่ากันเถอะ

เย่จั้นนั่งอยู่บนตำแหน่งที่นั่งข้างๆ แล้ว อาจเป็นเพราะเขาเดินมาเร็ว รู้สึกกระหายน้ำเล็กน้อย จึงหยิบน้ำขึ้นมาจิบ

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นชาร้อน แต่กลับรู้สึกถึงลมปราณเย็นๆ ไหลผ่านลำคอไปยังแขนขาในทันที เขารู้สึกสบายอย่างอธิบายไม่ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะมองดูน้ำในถ้วยด้วยความประหลาดใจ

เมื่อเห็นว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้และอินชิงเสวียนมีสีหน้าเป็นปกติ เขาจึงระงับสิ่งที่ต้องการถามเสีย

เปลี่ยนมาถามว่า “ได้ยินมาว่าจอมพลเฒ่าก็ถูกลอบสังหารด้วย รู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือใคร มือสังหารในวังเป้ใดปู ฝ่าบาทได้ส่งคนไปสืบดูหรือยัง”

เย่‍จิ่ง‍อวี้วางถ้วยชาลง ดวงตาทั้งคู่ฉายแววตาเย็นชา

“ถ้าข้าเดาไม่ผิด ผู้ที่ลอบสังหารจอมพลเฒ่าน่าจะเป็นอาซือหลานตัวจริง เขาสวมหน้ากากใบหน้าของกวนเซี่ยว จอมพลเฒ่าไม่ทันได้ตรวจสอบ จึงตกหลุมพรางของเขา ส่วนมือสังหารที่เข้าวังมานั้น ข้าไม่รู้เบาะแสอะไรเลย”

เย่จั้นกล่าวว่า “ตามที่คาดไว้ อา‍ซือ‍หลานใช้อุบายต้นหลี่ตายแทนต้นถาวจริงๆ หมอนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ”

เขาบีบถ้วยชาแน่น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “มือสังหารในวังจะต้องเป็นพรรคพวกของอา‍ซือ‍หลานแน่ๆ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ส่ายศีรษะ

“คงไม่หรอก คนผู้นี้มีทักษะวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม รู้วิธีจี้สกัดจุดสลบ เขาเข้าวังมาราวกับวังหลวงเป็นสถานที่เปล่าเปลี่ยว และวิชาตัวเบาของเขาก็โดดเด่นพอสมควรเลย”

เย่‍จิ่ง‍อวี้อธิบายถึงลักษณะท่าทางและจุดประสงค์ของชายคนนี้ให้ฟัง หลังจากได้ยินเช่นนี้ เย่จั้นก็ตกใจเล็กน้อย และนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาทันที

คนผู้นี้เป็นเพียงตำนานในยุทธภพ

มีข่าวลือว่าปรมาจารย์กระบี่ลิ่นเซียวตรอมใจเพราะภรรยาสุดที่รักเสียชีวิต จนเส้นผมขาวโพลนในชั่วข้ามคืน ไม่สนใจเรื่องทางโลกจนถึงบัดนี้

ว่ากันว่าภรรยาสุดที่รักของเขาเก่งเรื่องดนตรี...

เมื่อมาถึงตรงนี้ หัวใจของเย่จั้นก็หวั่นไหว

“นี่...บางที...อาจจะเกี่ยวข้องกับพิณโบราณนั้นก็ได้”

เย่จั้นบอกการเดาของเขาให้ทั้งสองคนฟัง จากนั้นก็พูดด้วยความละอายใจว่า “เพราะข้าไม่ได้คิดให้รอบคอบ คิดไม่ถึงว่าพิณนั้นจะสร้างปัญหาใหญ่เช่นนี้”

อินชิงเสวียนตกตะลึงเล็กน้อย เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร แค่ดีดพณก็ถูกยอมรับเป็นศิษย์ แถมมาอย่างบังคับอีกด้วย คนประหลาดคนนั้นออกจะไร้เหตุผลเกินไปกระมัง

จึงอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ภรรยาของเขาเสียชีวิตได้อย่างไร”

เย่จั้นส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เล่าลืออยู่ในยุทธภพ เรื่องจริงหรือเท็จก็ไม่อาจรู้แน่”

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “บางทีมันอาจเป็นเพียงเรื่องเล่าก็ได้ อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่มือสังหารมีผมขาว ถ้าเขามีตัวตนอยู่จริง ด้วยสถานะของเขา คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายนอก”

หัวใจของเย่‍จิ่ง‍อวี้จมดิ่งลงเล็กน้อย เรื่องของลิ่นเซียวนั้นไม่ใช่เรื่องเหลวไหลเสียทีเดียว อาจารย์ที่สอนวรยุทธ์ให้เขาก็เคยพูดถึงคนผู้นี้ แต่ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ เขาจะมีอายุหนึ่งร้อยปี แล้วทำไมหน้าตาถึงดูเด็กนัก

ดูท่าท่างวันนี้เย่‍จิ่ง‍อวี้อาจจะค้างคืนอยู่ที่ตำหนักจินหวูแน่แล้ว

แต่พอมาคิดดูอีกทีก็นึกได้ว่า ถึงอย่างไรเขาก็ได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถทำอะไรได้อีก ดังนั้นนางจึงรู้สึกโล่งใจ

หลังจากนั้นไม่นาน เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็กลับมาตามที่คาดไว้

“คืนนี้ข้าไม่กลับ ขอพื้นที่ว่างให้ข้าสักเล็กน้อยก็พอ”

เมื่อฟังคำพูดที่น่าสมเพชของเขา อินชิงเสวียนก็กลอกตามองบน

“ในเมื่อฝ่าบาทต้องการเพียงพื้นที่เล็กน้อย เช่นนั้นก็เชิญเสด็จไปประทับที่เก้าอี้นวมยาวด้านนอกได้เลยเพคะ”

เมื่อมองดูใบหน้าอันงดงามของนาง เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย

“เสวียน‍เอ๋อร์ตัดใจได้ลงจริงหรือ”

อินชิงเสวียนแค่นเสียงหึ และพูดว่า “ทำไมจะตัดใจไม่ได้ ฝ่าบาทตรัสเองนะเพคะ หากฝ่าบาทต้องการนอนบนเตียงใหญ่ เพียงแค่เอ่ยคำหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่ามีคนอีกจำนวนมาเพียงใดที่ต้องการให้พระองค์ไปนอนด้วย”

เย่‍จิ่ง‍อวี้กางแขนออกและกอดร่างบางนั้น

“ข้าอธิบายให้เจ้าฟังแล้ว อย่าโกรธอีกเลย นอกจากตำหนักจินหวูแล้ว ข้าก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น”

ใบหน้าของอินชิงเสวียนแนบทับท่อนอกของเขา น้ำเสียงของนางก็อู้อี้เล็กน้อย

“เมื่อก่อนท่านชอบไปที่หอสุ่ยอวิ้นมิใช่หรือ ยังให้หม่อมฉันไปด้วยด้วยซ้ำ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดอย่างช่วยไม่ได้ “เมื่อก่อนข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร ข้าจะไปที่ใดจะต้องแจ้งขันทีน้อยด้วยรึ เป็นเจ้าเสียอีก ที่โกหกข้ามาตั้งนาน ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยด้วยซ้ำ”

“ชิ ท่านจะคิดบัญชีอะไรกับหม่อมฉัน” ดูเหมือนว่าคนที่ได้ประโยชน์จะเป็นเขามากกว่านะ

เย่‍จิ่ง‍อวี้โน้มตัวไปข้างหน้า แล้วกดร่างอินชิงเสวียนบนเตียง

เมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่งดงามไร้ที่ตินั้น จู่ๆ ลูกกระเดือกก็กระดกอย่างอดใจไว้ไม่ได้ น้ำเสียงทุ้มต่ำก็แหบพร่าเจือไว้ด้วยความลุ่มหลง

“เจ้าโกหกข้าเช่นนี้ ข้าไม่สมควรลงโทษเจ้างั้นหรือ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์