ณ เมืองหลวงของต้าโจว
ตำหนักจินหวู
ชั่วพริบตาเดียวก็เป็นยามเที่ยงแล้ว อินชิงเสวียนคาดว่าเย่จิ่งอวี้คงใกล้เลิกประชุมเช้าแล้ว จึงให้อวิ๋นฉ่ายจัดเรียงซาลาเปาใส่ซึงนึ่ง แล้วจุดไฟ
สามสิบนาทีต่อมา เย่จิ่งอวี้ที่เปลี่ยนชุดลำลองแล้วก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
เมื่อเห็นเขามีสีหน้าสงบ อินชิงเสวียนก็เดาได้ว่าเช้านี้อาจจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
นางอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง ยืนยอบการคำนับเขาอยู่หน้าประตู
เย่จิ่งอวี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้เจ้าถวายบังคมข้าด้วย คงไม่ได้มีเรื่องจะขอร้องกระมัง”
ในการประชุมเช้าวันนี้ โหราจารย์ได้รายงานเรื่องที่เสวียนเทียนเข้าวังตามที่เขาบอกแล้ว
ซึ่งตาเฒ่าผู้นี้ไม่มีการตั้งคำถามให้มากความ ช่วยให้เย่จิ่งอวี้ประหยัดน้ำลายได้มาก
อีกทั้งคลองส่งอาหารและน้ำได้ผลสำเร็จ ราษฎรผู้พลัดถิ่นได้กลับบ้านเกิดแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาจริงๆ
สิ่งเดียวที่รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจคือคนประหลาดผมขาวคนนั้น
หากเขาหายดีจากอาการบาดเจ็บ เขาอาจไม่แพ้
เมื่อคิดได้ดังนี้ เย่จิ่งอวี้ก็สงบลงอีกครั้ง
อินชิงเสวียนกลอกตามองเขาอย่างไม่เกรงใจ
“ถ้าไม่มีเรื่องขอร้องฝ่าบาทจะคำนับไม่ได้หรอกหรือ ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็มาจากตระกูลใหญ่ จะไม่เข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้ได้อย่างไร”
เย่จิ่งอวี้ไม่ถือเป็นอารมณ์ พูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่มีเรื่องจะขอร้องข้า แต่ข้ามีเรื่องอยากขอร้องเจ้า ประเดี๋ยวเจ้าก็ตามข้าไปดูที่กรมโยธา เรื่องดินปืนจะปล่อยให้ล่าช้าอีกต่อไปไม่ได้”
เมื่อพูดถึงเรื่องจริงจัง สีหน้าของอินชิงเสวียนก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมา
“ใช่เพคะ นี่ก็ผ่านมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่หม่อมฉันทดสอบดินปืน ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่เจียงวูจะเป็นอย่างไรบ้าง”
เย่จิ่งอวี้เอื้อมมือไปรับเสี่ยวหนานเฟิงมาอุ้ม จับมือขอเขามาจูบเบาๆ แล้วพูดว่า “ในช่วงสองวันที่ผ่านมายังไม่มีข่าวคราวเลย แต่เรื่องนี้ควรเตรียมการไว้ให้พร้อมแต่แรกดีกว่า ข้าเองก็อยากเห็นฤทธานุภาพของดินปืนเช่นกัน”
เสี่ยวหนานเฟิงรู้สึกจั๊กจี้ที่ถูกจูบ เขาหดคอทันที แล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก และผลักใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ด้วยมือเล็กๆ ของเขา
เย่จิ่งอวี้จับมือแง่งขิงน้อยๆ แล้วแกล้งขบเล่นเบาๆ
เสี่ยวหนานเฟิงรู้ว่าเขากำลังหยอกล้อตัวเอง จึงเริ่มเตะแข้งเตะขาด้วยความดีใจทันที
อินชิงเสวียนรีบไปอุ้มลูกมา
“เด็กไม่รู้เรื่องอะไรควรไม่ควร ประเดี๋ยวจะเตะไปโดนบาดแผลของฝ่าบาทเพคะ ไม่มีข่าวถือว่าเป็นข่าวดี หม่อมฉันให้อวิ๋นฉ่ายนึ่งซาลาเปาไว้ให้ฝ่าบาทแล้ว กินเสร็จ อาบน้ำ แล้วค่อยไปกัน”
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองอินชิงเสวียนอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้นางถึงให้เขาอาบน้ำบ่อยๆ แต่เขาก็รู้สึกชอบมาก ทุกครั้งที่อาบน้ำจะรู้สึกกระฉับกระเฉงและผ่อนคลายตลอด
จากนั้นเขาก็พยักหน้าและพูดว่า “เอาตามที่เสวียนเอ๋อร์บอกเถอะ”
อวิ๋นฉ่ายได้นำซาลาเปาลูกใหญ่ๆ ร้อนๆ มาที่ศาลาหิน เมื่อเสี่ยวหนานเฟิงได้กลิ่นหอม เขาก็ยื่นมือเล็กๆ ออกมา แล้วชี้ไปทันที
“กิน กิน~”
หลังจากพูดไปเพียงสองคำ ก็มีน้ำลายไหลออกมาเต็มปาก ราวกับน้ำตก
อินชิงเสวียนรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดปากให้เสี่ยวหนานเฟิงทันที
พูดเสียงอ่อนโยน “เจ้ายังเด็กเกินไป กินยังไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องรอให้คนขงบปีก่อน”
เสี่ยวหนานเฟิงดูเหมือนจะเข้าใจ คิ้วเล็กๆ ของเขาก็ย่นทันที
“ม่ายม่าย~”
อินชิงเสวียนตีหน้าขรึมทันที
“เชื่อฟังแม่ ของสิ่งนั้นมีพิษ เด็กกินไม่ได้”
เสี่ยวหนานเฟิงเม้มริมฝีปากทันที รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง น้ำตาไหลพรากออกมา น้ำเสียงสะอื้นฮักๆ
มือเล็กๆ ยังคงชี้ไปที่ศาลา
อินชิงเสวียนเดินตามเข้าไปดูในห้อง เห็นเสี่ยวหนานเฟิงยกน่องขึ้นดูดนมไปพลาง สายตาก็กวาดมองไปรอบๆ ด้วย บางครั้งรู้สึกว่าอร่อย เขาก็ร้องขึ้นอย่างมีความสุข ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาอารมณ์ดีมาก
อินชิงเสวียนจึงสบายใจได้ในที่สุด จากนั้นนางก็ไปหาเย่จิ่งอวี้ที่ศาลาหิน
หลังมื้ออาหารกลางวัน อินชิงเสวียนก็ให้เย่จิ่งอวี้อาบน้ำต่อ จากนั้นก็ชงชาจากน้ำพุวิญญาณไว้ให้เขา
เย่จิ่งอวี้จิบชาไปสองจิบ แล้วหลับไปบนหมอนนุ่มๆ ไม่รู้ว่าเขาง่วงเพราะตื่นเช้าเกินไป หรือเพราะปฏิกิริยาบางอย่างจากน้ำพุวิญญาณ แต่โชคดีที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเขา ดังนั้นอินชิงเสวียนจึงไม่กังวลมากนัก
นางเรียกหลี่เต๋อฝูให้เข้าไปคอยเฝ้าเย่จิ่งอวี้ในห้องโถง ส่วนตัวเองก็ออกไปหาเสี่ยวหนานเฟิงที่ห้องโถงด้านข้าง เด็กน้อยตัวอ้วนกินอิ่มแล้วแต่ยังไม่ง่วง ท่าทางมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากเล่นกับเขามาสักพักแล้ว อินชิงเสวียนก็เกือบจะหลับไป โชคดีที่เย่จิ่งอวี้ตื่นขึ้นมาในเวลานี้
อินชิงเสวียนผลัดเปลี่ยนชุดบุรุษอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งรถม้าออกจากวังพร้อมกับเขา
สามสิบนาทีต่อมา รถม้าก็มาหยุดที่หน้าประตูของกรมโยธา
หลี่ฉีเปิดประตูรถม้า แล้วช่วยพยุงเย่จิ่งอวี้ลงจากรถม้า
ฉินไห่ฉิวและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ กำลังรออยู่ที่ประตูแล้ว เมื่อเห็นทั้งสองคน พวกเขาก็คุกเข่าคำนับทันที
เย่จิ่งอวี้พูดเบาๆ “ลุกขึ้นเถิด คนอื่นๆ ออกไปให้หมด ข้ามีเรื่องจะพูดกับเสนาบดีกรมโยธา”
หลังจากออกจากวังแล้ว ใบหน้าของเขากลับมามีความเข้มงวดดังเดิม แววตาคมกริบราวกับใบมีด กิริยาอาการยามที่เคลื่อนไหวเต็มไปด้วยแรงกดดันแห่งราชา
“พ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าหน้าที่ทุกคนโค้งคำนับและล่าถอยออกไป ฉินไห่ฉิวยกเสื้อคลุมลุกขึ้น แล้วนำเย่จิ่งอวี้เข้าไปในคลังเก็บของของกรมโยธา
เมื่อมองเห็นดินประสิวและแร่กำมะถันที่จัดวางเป็นหมวดต่างๆ อินชิงเสวียนก็พยักหน้า
มีวัตถุมากมายเพียงนี้ น่าจะสามารถสร้างถุงห่อระเบิดได้เยอะเลย
นางเดินไปรอบๆ แล้วพูดว่า “เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด ไปทำการทดลองอีกครั้งดีกว่า เพียงแต่ระเบิดนั้นมีอานุภาพรุนแรง อาจทำร้ายคนได้ ต้องหาสถานที่ห่างไกลดีกว่า”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นก็ไปที่ชานเมืองเหมือนครั้งที่แล้ว คราวนี้ ข้าจะไปกับเจ้าเอง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...