สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 333

อินชิงเสวียนเงยใบหน้าดวงน้อยอันงดงามขึ้นถามว่า “อาจจะอะไรหรือเพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ถอนหายใจ “ไม่มีอะไร ข้าจะส่งคนไปรอรับพ่อของเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวล”

อินชิงเสวียนคิดอยู่นาน ในที่สุดก็พอจะคิดอะไรบางอย่างออก

“ฝ่าบาทกลัวว่าเขาจะปลอมตัวเป็นอินสิงอวิ๋น ไปลอบสังหารท่านพ่อหม่อมฉันหรือเพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยืดนิ้วชี้อันเรียวยาวของเขาออก และจิ้มดั้งจมูกของนาง

“เรื่องอะไรก็ปกปิดความคิดของเจ้าไม่ได้จริงๆ”

อินชิงเสวียนพูดอย่างช่วยไม่ได้ “หม่อมฉันโง่เขลา ต้องคิดอยู่สักพัก จึงจะเข้าใจ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้หัวเราะเบาๆ “ถ้าเสวียน‍เอ๋อร์โง่ ในโลกนี้คงไม่มีคนฉลาดอีกแล้วกระมัง”

อินชิงเสวียนถอนหายใจและพูดว่า “คราวนี้ฝ่าบาทตรัสเกินจริงจริงแล้ว หม่อมฉันเกิดมาก็ไม่ชอบใช้สมอง และไม่ชอบชีวิตที่ซับซ้อน หลังจากที่ใส่เรื่องราวเข้าไปมากมาย หัวสมองจวนจะระเบิดอยู่แล้ว”

“ผิดแล้ว หัวสมองยิ่งใช้ยิ่งฉลาด ไม่ต้องห่วง หัวสมองของเจ้าจะอยู่คู่คอของเข้าไปอีกนาน”

อินชิงเสวียนหันขวับ ทันใดนั้นก็เห็นดวงตาที่ยิ้มแย้มคู่หนึ่ง

ในความมืด เรียวตาหงส์ของเย่‍จิ่ง‍อวี้เป็นประกายระยิบระยับ ราวกับว่ามีดวงดาราซุกซ่อนอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นดั่งแม่เหล็กที่ดึงดูดให้ไม่อาจละสายตาได้

หลังจากสบตากันครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็รีบเสมองไปทางอื่น

ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะมีแรงดึงดูดที่น่ากลัว หากมองนานเกินไป อินชิงเสวียนเกรงว่าวิญญาณของนางจะถูกเขาดูดไปหมด

หลังจากผ่านไปราวๆ สิบห้านาที ทั้งสองก็มาถึงคุกหลวง

ทันทีที่มาถึงประตู ก็ได้ยินเสียงอันแหลมคมที่กำลังกรีดร้อง “เจ้าพวกทาสสุนัข ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้ ข้าถูกใส่ร้าย”

“ใครก็ได้มานี่หน่อย เย่‍จิ่ง‍อวี้ เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”

ที่ห้องทรมาน

ไทเฮาถูกมัดติดกับเสา อาภรณ์ถูกน้ำเย็นจัดสาดจนเปียกโชก เส้นเกศาที่ยุ่งเหยิงมีน้ำหยดลงมา

เย่‍จิ่ง‍อวี้เดินเยื้องกรายเข้ามา สายตาเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน

“ไทเฮาลองใช้ความคิดดูสิ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าชะตากรรมแบบไหนรออยู่”

เมื่อเห็นเย่‍จิ่ง‍อวี้ ไทเฮาก็แทบคลั่งทันที ในเวลานี้นางปราศจากลักษณะอันน่าเกรงขามอย่างที่ไทเฮาพึงมีอีกต่อไป กลายเป็นเหมือนหญิงสติเลอะเลือนกลางตลาดสด ด่าสาดเสียเทเสียว่า “เย่จิ่งอวี้ เจ้าสารเลว เจ้าปล้นชิงบัลลังก์ไป แถมยังคิดจะจกำจัดข้าอีก เจ้าต้องไม่ได้ตายดีแน่นอน”

ใบหน้าของเย่‍จิ่ง‍อวี้สงบ ในดวงตาไม่มีความความรู้สึกใด

“ข้าเป็นรัชทายาทอยู่ก่อนแล้ว การขึ้นครองบัลลังก์ไม่เหมาะสมอย่างไร กลับเป็นไทเฮาเสียอีกที่มีเจตนาชั่วร้าย ลงมือทำร้ายจ้าวเอ๋อร์ลูกชายของข้าหลายครั้ง อีกทั้งยังมีความทะเยอทะยานไม่สิ้น ไม่สนใจลำดับเชื้อสาย ต้องการสนับสนุนเย่จิ่งเย่าให้ขึ้นครองราชบัลลังก์ ไม่คิดเลยว่าเจ้านั่นเป็นเหมือนไม้หลักปักเลน ตอนนี้ยังกล้าพูดแบบนี้กับข้าอีก ไม่คิดว่าน่าขันรึ”

“เจ้าเด็กเปรตนั่นเกิดในวังเย็น ใครจะรู้ว่าเป็นลูกของใคร ที่ข้าเช่นนี้ ก็เพื่อปกป้องสายโลหิตของราชวงศ์”

นางหายใจเข้าช้าๆ แล้วพูดว่า “ตั้งแต่สมัยโบราณลูกสายตรงและสายรองแตกต่างกัน เย่าเอ๋อร์เป็นโอรสสายตรงของฮ่องเต้องค์ก่อน ดังนั้นเขาจึงควรเป็นฮ่องเต้ ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาท ก็เพราะว่าแม่ของเจ้าใช้เสน่ห์ยั่วยวน ทำให้ฮ่องเต้องค์ก่อนลุ่มหลงเลอะเลือน เจ้าไม่คู่ควรกับการเป็นรัชทายาทเลยด้วยซ้ำ”

เสียงของไทเฮาแหลมสูง ขณะที่นางตะโกนสายโซ่ตรวนก็ส่งเสียงกระทบกัน

“หุบปาก!”

เมื่อได้ยินนางพูดถึงเสด็จแม่ของเขา ใบหน้าของเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็มืดลง

เสียงเย็นชาราวกับจะทำให้น้ำแข็งแตกออกโดยฉับพลัน อากาศโดยรอบดูเหมือนจะเย็นลงเล็กน้อย

“ถ้ากล้าพูดอีกคำ ก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย”

ไทเฮาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ถึงแม้ข้าไม่พูด แต่เจ้ายังจะปรานีต่อข้างั้นรึ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้วางมือพาดบนไหล่ของอินชิงเสวียน ซึ่งสัมผัสอันอบอุ่นนี้ช่วยคลายความเยือกเย็นภายในห้องทรมานไปได้มาก

ดวงตาที่อ่อนโยนราวกับจะบอกอินชิงเสวียนว่า ข้าจะไม่เชื่อนาง

จากนั้นเขาก็หันความสนใจไปที่ใบหน้าของไทเฮา

ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นที่มีความแค้นต่อเสด็จแม่ของข้า”

ไทเฮาแค่นเสียงหึ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ ข้าคิดแต่ว่าจะรักษาตำแหน่งวังหลังให้มั่นคง ยังต้องดูแลเลี้ยงดูคนสนิทของตัวเองด้วย จะสนใจเรื่องนั้นได้อย่างไร”

“ในเมื่อเจ้าไม่รู้ เช่นนั้นก็โทษข้าไม่ได้ ข้าจะลงโทษเย่จิ่งเย่าในข้อหากบฏ และร่างฝังไปพร้อมกับไทเฮา!”

ทว่าไทเฮากลับสั่นไปทั้งตัว ตะโกนอย่างตื่นตระหนก “ไม่ได้นะ ถ้าเจ้ากล้าฆ่าเย่าเอ๋อร์ ต่อให้ข้าตายเป็นผีก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยิ้มอย่างเหยียดหยาม

“ข้าทำเพื่อบ้านเมือง ไม่มีสิ่งใดต้องละอายใจต่อผีสางเทวดา จึงไม่เคยกลัวผีสางเทวดาเลย”

เขาหันหลังกำลังจะจากไป แต่จู่ๆ ไทเฮาก็ตะโกน

“เดี๋ยวก่อน ข้าสามารถบอกใครสักคนแก่เจ้าได้ หากเจ้าพบนาง เจ้าอาจจะรู้ได้ว่าใครเป็นคนฆ่าแม่ของเจ้า”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ตัวสั่นเล็กน้อย เขาเหลือบมองไปด้านข้างแล้วถามว่า “เป็นผู้ใด”

ไทเฮาสูดลมหายใจแล้วกล่าวว่า “มีนางกำนัลผู้หนึ่งนามว่าฮวาเชียน แต่นางไม่ได้อยู่ในวัง จะพบนางได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของสวรรค์แล้ว”

นัยน์ตาของเย่‍จิ่ง‍อวี้ฉายแววตะลึง ฮวาเชียนเป็นนางกำนัลคนสนิทของเสด็จแม่ นางได้เสียชีวิตไปแล้วในตำหนักจินหวู

ดูเหมือนว่าไทเฮาจะมองเห็นข้อกังขาของเขาออก

พูดเยาะหยัน “เจ้าคิดว่านางตายแล้วรึ ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าตัวเจ้าเองก็อาจไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างที่เจ้าคิด ฮวาเชียนมีวรยุทธ์สูงส่งมาก นางไม่ได้นางกำนัลในวังธรรมดาๆ เพียงนั้น”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์