ณ วังหลวง
เมื่อเสียงไก่ขันดังขึ้นสามครั้ง ในที่สุดเย่จิ่งอวี้กค่อยๆ ตื่นขึ้น
พอลืมตาขึ้น เขาเห็นหมอหลวงคุกเข่าอยู่บนพื้น
เขาลุกขึ้นนั่งทันที “เสวียนเอ๋อร์กลับวังแล้วหรือยัง”
หมอหลวงเหลียงคลานไปข้างหน้าหลายก้าว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “พระสนมเหยาเฟยเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน ฝ่าบาทได้โปรดเห็นแก่พระวรกายเป็นสำคัญด้วยเภิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้นทันทีก็มีเสียงที่ชัดเจนและอ่อนโยนดังขึ้นในห้อง
“กระหม่อมได้ส่งคนออกจากเมืองไปค้นหาแล้ว ฝ่าบาทโปรดอย่ากังวลเกินไปนัก”
ครั้นแล้วใบหน้าหล่อเหลาก็ปรากฏสู่คลองสายตา และเห็นเสื้อคลุมสีขาวราวกับหิมะที่สะดุดตาเป็นพิเศษ
เมื่อเห็นคนผู้นี้ เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้น
“เสด็จอามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
เย่จั้นมองเย่จิ่งอวี้อย่างเป็นห่วง
“หมอหลวงเหลียงส่งคนมาแจ้งให้ข้าทราบ ตอนนี้ฝ่าบาทรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว”
เย่จิ่งอวี้ลุกจากเตียง สวมรองเท้าหุ้มส้นทรงสูงมังกรทองสีเหลืองอ่อน
เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เสด็จอาได้ข่าวอะไรบ้างหรือไม่”
เย่จั้นส่ายศีรษะ “ยังไม่มี”
แม้ว่าเย่จิ่งอวี้จะรู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะเป็นเช่นนี้ แต่เลือดในอกของเขายังคงพลุ่งพล่าน
เขาหายใจเข้าอย่างแรง ระงับเกลียวคลื่นโลหิตในอก ขบฟันกรามแน่นแล้วพูดว่า “ถ้าโจรชั่วอย่างอาซือหลานกล้าพาตัวเสวียนเอ๋อร์ไป ข้าจะไปรับกับเจียงวูด้วยตัวเอง ทำลายดินแดนเล็กๆ นั้น เหยียบย่ำเป็นเถ้าถ่านซะ”
เย่จั้นถอนหายใจอย่างเงียบๆ
ในฐานะบุรุษ เขาย่อมเข้าใจความรู้สึกของเย่จิ่งอวี้ได้เป็นธรรมดา
และเขาก็เคยสูญเสียคนรักไปเช่นกัน
เมื่อนึกถึงใบหน้าที่คล้ายกับอินชิงเสวียนมาก ในใจของเย่จั้นก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างกะทันหัน แล้วจึงพูดเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอบอุ่นทันที “ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงวุ่นวายมาก ฝ่าบาทอย่าใช้อารมณ์แก้ไขปัญหาเด็ดขาด ส่วนเรื่องของพระสนมเหยาเฟย ข้าจะส่งคนไปค้นหาเพิ่มเติม ด้วยความเฉลียวฉลาดของพระสนม จะต้องทิ้งเบาะแสไว้ให้พวกเราอย่างแน่นอน”
เย่จิ่งอวี้ตกอยู่ในความสับสนยุ่งเหยิงดั่งด้ายพันกัน พรุ่งนี้เป็นพิธีงานศพของไทเฮา และยังมีอีกหลายสิ่งที่รอให้เขาจัดการ แต่พอเขาคิดว่าอินชิงเสวียนและจ้าวเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในวัง เขาจะรู้สึกสบายใจได้อย่างไร
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสิ่งที่คนประหลาดผมขาวพูด เนื่องจากเขาบอกว่าเขาอาศัยอยู่ที่บ้านใกล้ๆ ร้านขายยาเทียนอัน ฉะนั้นเขาต้องยังอยู่ที่นั่น
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองหมอหลวงแล้วพูดว่า “ท่านถอยออกไปก่อน เสด็จอา ออกจากวังไปกับข้า”
เย่จั้นพยักหน้า ไม่ถามคำถามอีกต่อไป
ตอนนี้ไทเฮาสิ้นพระชนม์แล้ว เหล่าขุนนางข้าราชสำนักที่ชอบตีสองหน้าเหล่านั้นก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ อีกต่อไป แม้ว่าเย่จิ่งเย่าอยู่ในวัง แต่ทุกอย่างก็อยู่ภายใต้การควบคุม
เย่จิ่งอวี้ผิวปาก แล้วไป๋เสวี่ยที่นอนอยู่ไม่ไกลก็วิ่งเข้ามาหาทันที
เย่จิ่งอวี้นั่งยองๆ อยู่บนพื้น ตบหัวอันใหญ่โตของไป๋เสวี่ย
“ตามข้ามา พาข้าไปตามหาจ้าวเอ๋อร์ ระหว่างทางก็อย่าลืมดมหากลิ่นของเสวียนเอ๋อร์ด้วยนะ”
ไป๋เสวี่ยเห่า แล้ววิ่งตามหลังม้าไป
ทว่าในใจของเขาไม่มีความหวังมากนัก หากอีกฝ่ายจงใจต้องการซ่อนตัวอินชิงเสวียน สิ่งที่เขาคิดได้ พวกเขาก็สามารถคิดได้เช่นกัน
ตอนนี้ต้องหาลูกชายให้เจอก่อน แล้วค่อยคิดถึงเรื่องอื่น
ครั้นแล้วสองอาหลานก็รีบออกจากวัง แล้วสิบห้านาทีต่อมา พวกเขาก็มาถึงประตูร้านขายยาเทียนอัน
ไป๋เสวี่ยดมกลิ่นไปตามถนน ทันใดนั้นก็ยืนอยู่หน้าบ้านที่อยู่ใกล้ๆ แล้วเห่าเข้าไปข้างใน
เย่จิ่งอวี้กระโดดตัวขึ้นไปเพียงอึดใจเดียว ร่างตัวของเขาปีนขึ้นไปบนกำแพงแล้ว
มีคนผู้หนุ่งยืนอยู่ที่ลานบ้าน ราวกับกำลังรอเขาอยู่
ผมสีขาวเงินถูกมัดเป็นมวยหลวม ที่ดูทั้งเป็นอิสระและสง่างาม
ทันทีที่เย่จิ่งอวี้จรดฝีเท้าลงยืนอย่างมั่นคง ชายผมขาวก็หันหน้ามา
เขาถามด้วยน้ำเสียงสงบ “คนที่ข้าต้องการ ได้พามาแล้ว?”
ชายผมขาวเหลือบมอง แล้วตะโกนอย่างเย็นชา
“มีความสามารถพอตัวนี่ เช่นนั้นก็ลองรับกระบวนท่านี้ดู”
เขาสะบัดแขนเสื้อ แล้วพลังอันคมกริบก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ราวกับว่ามันกำลังก่อรูปร่างคล้ายกระบี่ในอากาศ
เย่จั้นหวาดหวั่น นี่เป็นปราณกระบี่ในตำนานกระนั้นหรือ
คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ที่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวง เขารีบผลักมือออกไป ผลักเย่จิ่งอวี้ให้หลบไปได้ทัน เพื่อหลีกเลี่ยงปราณพลังงานนั้น
ชายผมขาวแค่นเสียงหึ “พวกเด็กน้อยเอ๋ย พวกเจ้าบังคับให้ข้าต้องลงมืออย่างนั้นหรือ”
เย่จั้นโค้งคำนับและพูดว่า “ผู้เยาว์มิกล้า ขอให้ผู้อาวุโสช่วยผ่อนผัน ให้พวกเราเห็นเด็กได้หรือไม่”
คนประหลาดนิ่งเงียบราวกับไม่ได้ยิน
ความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันทำให้ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ตวับวาบขึ้นอย่างสิ้นหวัง เพื่อลูกชาย เขาจำต้องปล่อยวางความเย่อหยิ่ง คุกเข่าบนชิ้นอิฐที่แตกหัก
เขามองคนประหลาดผมขาวแล้วพูดช้าๆ ว่า “ลูกยังเด็กอยู่ อยู่ห่างจากพ่อแม่ไม่ได้นานนัก ในฐานะที่ท่านเป็นผู้อาวุโสที่อยู่อย่างสันโดษ ต้องรู้ว่าความเจ็บปวดของการแยกจากเป็นอย่างไร ข้าไม่ขอพาเด็กไป แค่พบหน้าเขา ท่านผู้อาวุโสช่วยผ่อนผันด้วยเถิด”
นี่คือฮ่องเต้ที่กุมชีวิตความเป็นความตายของทุกคน แต่ตอนนี้เขากำลังคุกเข่าแทบเท้าของชายผู้นี้
หากมีใครเห็นฉากนี้จะต้องตกใจอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ชายผมขาวก็ไม่สะทกสะท้าน
เขามองเย่จิ่งอวี้ด้วยสีหน้าไม่แยแส พูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน “ข้าบอกแล้วว่าจะไม่ทำร้ายเด็ก ก็จะไม่ทำร้าย หากพวกเจ้าได้คืบจะเอาศอก ก็อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยม”
“ผู้อาวุโส ท่านไม่ยอมผ่อนผันให้จริงหรือ”
เมื่อเห็นว่าเขาไร้เหตุผลเพียงใด เจตนาฆ่าในเรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้ก็เพิ่มขึ้นทันที
ชายผมขาวยิ้มอย่างเหยียดหยาม
“อย่างเจ้าน่ะรึ คิดจะต่อสู้กับข้า?”
“เพื่อจ้าวเอ๋อร์ ข้ายินดีที่จะขอคำชี้แนะจากท่านสักสองสามกระบวนท่า”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เย่จิ่งอวี้ก็เหาะขึ้นไป รวบรวมพลังทั้งหมดไว้ในฝ่ามือ และสะบัดไปยังชายผมขาวทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...