“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะสอนบทเพลงใดให้ผู้เยาว์?”
ด้านในบ้าน อินชิงเสวียนเริ่มปริปากพูดก่อน
พูดตามความจริง นางไม่มีความสนใจต่อส่ิงนี้เลย
เครื่องดนตรีชนิดเดียวในชีวิตที่อินชิงเสวียนชื่นชอบก็คือขลุ่ยดินเผา หากเรียนเป่าขลุ่ยดินเผากับเย่จิ่งหลาน ไม่แน่ว่าอาจจะสนใจมันมากขึ้นด้วยซ้ำ
ชายผมขาวพูดขึ้นเสียงเรียบ “เจ็ดวันนี้ ข้าจะสอนเจ้าสองบทเพลง ชื่อเพลงว่าหยกรัตติกาลและใจหินผา”
เขาชะงักไปเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า “ภรรยาของข้าที่เสียชีวิตไปแล้วเป็นผู้แต่งเพลงทั้งสองบทนี้ ข้าทำใจไม่ได้ที่จะฝังผลงานอันเป็นที่รักของนางลงไว้ใต้ดิน ดังนั้นข้าจึงนำพิณการเวกไปที่โรงเตี๊ยมโหย่วเจีย โดยหวังว่าจะใช้มันเพื่อเลือกผู้ที่บรรเลงพิณโบราณให้เกิดเสียงขึ้นมาได้”
อินชิงเสวียนจึงรีบฉวยโอกาสถามขึ้นว่า “ผู้เยาว์ได้ยินมาว่า มีผู้ที่สามารถบรรเลงพิณโบราณให้เกิดเสียงได้ก่อนผู้เยาว์ ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงไม่ได้เป็นผู้สืบทอดของผู้อาวุโส?”
ชายผมขาวตกใจเล็กน้อย
“มีผู้อื่นด้วยหรือ? เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อใดกัน?”
อินชิงเสวียนพูดว่า “น่าจะราวๆ สองปีก่อนเจ้าค่ะ”
ชายผมขาวพูดพึมพำว่า “สองปีก่อนข้ามีธุระอยู่สักพักใหญ่ๆ และตัวข้าก็ไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิต ข้าและนางจึงไม่มีวาสนาต่อกัน”
อินชิงเสวียนขานตอบรับและถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโสเคยได้ยินชื่อสำนักกระบี่สังหารหรือไม่?”
ชายผมขาวเลิกคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
“เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมกัน?”
“เอ่อ...”
อินชิงเสวียนกระแอมไอเสียงแห้งและพูดว่า “เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของท่านอาน้อยของข้า มีคนเคยได้ยินเสียงกระพรวนในที่ที่ท่านอาน้อยหายตัวไป และพอดีกับที่ผู้เยาว์ได้รู้จักผู้ที่มีนามว่าต่งจื่ออวี๋ เขาบอกว่าตัวเองมาจากสำนักกระบี่สังหาร และมีกระพรวนทองติดตัว”
ชายผมขาวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เจ้ารู้จักกับต่งจื่ออวี๋ที่ใด?”
อินชิงเสวียนเล่าตามความจริง
“ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาบอกว่าเขามาเมืองหลวงเพื่อตามหาอาจารย์อาของเขา พวกเราจึงเป็นเพื่อนร่วมทางกัน”
สีหน้าของชายผมขาวเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยมาก แต่เพียงไม่นานก็หายไป
“ในเมื่อเจ้าเป็นคนของราชวงศ์ อย่าได้ผูกสัมพันธ์กับคนในสำนักจะดีกว่า เอาล่ะ ไปนั่งอีกด้านหนึ่งและจงตั้งใจฟังอย่างละเอียด ทุกบทเพลงข้าจะบรรเลงเพียงแค่หนึ่งครั้ง เจ้าจำได้มากน้อยเพียงใด อยู่ที่ความสามารถของตัวเจ้าเอง”
อินชิงเสวียนแอบเหลือบมองไปที่ลูกน้อย หากบรรเลงพิณก็จะต้องมีเสียงดังเป็นแน่ เสี่ยวหนานเฟิงจะไม่ตื่นขึ้นมาหรอกหรือ
ราวกับว่าชายผมขาวได้ยินความคิดของนาง จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ “เจ้าวางใจได้ เสียงพิณนี้มีเพียงเจ้าและข้าที่จะได้ยิน นี่คือเพลงหยกรัตติกาล เจ้าตั้งใจฟังให้ดี”
เขาเหยียดนิ้วขาวซีดและเรียวยาวออก แล้วแตะลงบนพิณอย่างช้าๆ ตามจังหวะการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ เสียงโน้ตที่ทุ้มต่ำและนุ่มนวลก็สั่นไหวราวกับคลื่นน้ำในอากาศ
ดนตรีเริ่มจากช้าไปเร็ว ราวกับคลื่นทะเลสีฟ้าที่ซัดเข้ามา และเหมือนคลื่นขนาดใหญ่ที่กระทบโขดหิน ผสานกับเสียงคำรามที่น่าตกใจ พลังเสียงอันยิ่งใหญ่ปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ และการเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สิ้นสุด
อินชิงเสวียนฟังจนลมหายใจเริ่มถี่ขึ้น เลือดลมที่หัวใจพลุ่งพล่านไม่หยุดนิ่ง แต่ก็ยังต้องการที่จะจำแนกเสียงสัมผัสนั้น เมื่อฟังดูแล้วก็รู้สึกว่าระดับเสียงนั้นขึ้นๆ ลงๆ ไม่มีกฎเกณฑ์ใดเลย แต่สามารถเล่นเพลงที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้ได้ มันน่าประหลาดใจจริงๆ อินชิงเสวียนตกอยู่ในภวังค์โดยสมบูรณ์
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด มือข้างหนึ่งก็ตบลงบนไหล่ของนางเบาๆ หนึ่งที
อินชิงเสวียนได้สติกลับมาในทันที จึงพบว่าบทเพลงได้บรรเลงจบแล้ว
ใต้โพรงจมูกมีความรู้สึกเปียกชื้น เมื่อยกมือขึ้นสัมผัสก็มีเลือดกำเดาไหลออกมา
ชายผมขาวยืนอยู่ตรงข้ามกับนาง มีความชื่นชมเกิดขึ้นในดวงตาของเขา
“ไม่เลว” เขาพยักหน้าแล้วพูด
หน้าอกของอินชิงเสวียนยังคงสั่นไหวขึ้นลงอยู่เล็กน้อย ราวกับว่านางยังไม่ฟื้นตัวจากคลื่นพายุ
นางไม่ใช่ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านสัมผัสของดนตรี แต่วันนี้ที่ได้ยินเสียงเพลงบทนั้น นางมองเห็นความอาฆาตแค้นในการสังหารที่เกิดขึ้นทีละชั้น ราวกับว่ามีดนับพันเล่มกดทับนางไว้ ทำให้นางหายใจไม่ออก และมีเหงื่อเย็นไหลออกมาเต็มแผ่นหลัง
“เจ้าจำได้มากน้อยเพียงใด?”
ชายผมขาวมองนางและถามขึ้น
อินชิงเสวียนตั้งสมาธิและนึกย้อนอย่างละเอียด กลับพบว่าตัวเองจำอะไรไม่ได้เลย ลืมแม้กระทั่งว่าเขาดีดพิณอย่างไร
ความอาฆาตแค้นในการสังหารที่สะท้อนอยู่ในใจ ยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความหวาดกลัว
“คือว่า... ผู้เยาว์จำได้ไม่มาก”
ชายผมขาวขมวดคิ้ว
“เพราะเหตุใด?”
เมื่อครู่นี้ นางได้หยิบสตรอเบอร์รี่หนึ่งผลที่เพิ่งปลูกออกมาจากด้านใน และตอนนี้นางก็ถือมันไว้ในมือ
ในระหว่างที่ตื่นเต้นดีใจ บทเพลงก็จบลง
สีหน้าของชายผมขาวก็สงบลงมากเช่นกัน
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
อินชิงเสวียนอึกอักเล็กน้อย เหมือนว่าจำอะไรไม่ได้มากนัก
“ไม่ต้องรีบ ค่อยเป็นค่อยไป”
ชายผมขาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่ และพูดกับอินชิงเสวียนว่า “เจ้าลองดูสิ”
อินชิงเสวียนทำได้เพียงนั่งลง แต่ในสมองกลับว่างเปล่า นางกดมือบนสายพิณเป็นเวลานาน แต่ไม่มีเสียงดนตรีถูกบรรเลงออกมา
ชายผมขาวจึงกระวนกระวายใจอย่างอดไม่ได้
“อย่าบอกนะ ว่าเจ้าจำตัวโน้ตไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว”
อินชิงเสวียนหน้าแดงเล็กน้อย ลุกขึ้นและพูดว่า “ผู้เยาว์หัวทื่อ”
“ใช่ หัวทื่อมากทีเดียว”
ชายผมขาวพูดอย่างไม่เกรงใจ เมื่อพูดจบก็เดินออกไปด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
อินชิงเสวียนก็รู้สึกผิดเช่นกัน
ดีดพิณก็ต้องมีทำนองเพลง เขาไม่บอกแม้แต่ทำนอง ใครจะฟังรู้เรื่องกันเล่า
และตัวนางเองก็ไม่ใช่อัจฉริยะ นางเพียงสืบทอดความทรงจำของกล้ามเนื้อบางส่วนจากเจ้าของร่างเดิมเท่านั้น
เมื่อจ้องพิณอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายอินชิงเสวียนก็ยอมแพ้
อย่างไรก็เหลือเวลาอีกหลายวัน ไม่รีบร้อน
ก่อนหน้านี้ชายผมขาวพูดไว้เสียใหญ่โต หากเริ่มเรียนแล้วก็ไม่อาจหยุดได้ อินชิงเสวียนยังกลัวว่าตัวเองจะเหนื่อยตาย ตอนนี้นางไม่รู้สึกมีภาระอะไรอยู่ในใจแล้ว
เมื่อเห็นว่าชายผมขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้เก่าในลานบ้าน คิดว่าเขาคงไม่เข้ามาสักพัก ดังนั้นนางจึงรีบใช้โอกาสศึกษามิติ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...