สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 367

ชายผมขาวไม่ได้สนใจเขา และพูดกับอินชิงเสวียนว่า “ไปเล่นเพลงหยกรัตติกาล”

“เจ้าค่ะ”

อินชิงเสวียนพยักหน้าเล็กน้อย เหลือบมองต่งจื่ออวี๋และเดินเข้าไปในบ้าน

จากนั้นก็นั่งลงข้างพิณ แต่ในสมองกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า

สิ่งที่นางจินตนาการได้มีเพียงภาพมหาคลื่นธารากระแทกฝั่ง และลมที่โหมพัดอย่างบ้าคลั่งแผดเสียงก้อง หากต้องการให้นางบรรเลงดนตรีจากสิ่งเหล่านี้ นางก็ไม่รู้จะเริ่มจากที่ใด

เมื่อนั่งอยู่นาน อินชิงเสวียนก็พูดอย่างเบื่อหน่าย “ผู้เยาว์ยังคงจับใจความไม่ได้”

ชายผมขาวผิดหวังเล็กน้อย

“เช่นนั้นก็จำใจหินผาให้ดีก่อน”

พูดจบก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงออกไป

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงเวลาเที่ยงตรง

ในตำหนักจินหลวน หลี่เต๋อฝูตะโกนเพื่อเลิกการประชุมราชวงศ์

เย่จิ่งอวี้กดมือลงบนที่เท้าแขนหัวมังกร และลุกขึ้นจากเก้าอี้มังกร

เสื้อคลุมสีเหลืองสดใสทำให้เขาดูหล่อเหลาและเต็มไปด้วยบารมี ดวงตาคมอันเฉียบแหลมของเขากวาดสายตาไปเหนือเหล่าขุนนาง ทำให้เขาน่าเกรงขามมากทีเดียว

ทุกคนต่างก้มศีรษะลง น้อมตัวถอยออกไปจากตำหนักจินหลวน ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมอง

เย่จิ่งอวี้เดินเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง หลี่เต๋อฝูรีบนำคนวิ่งเข้ามา เพื่อช่วยเย่จิ่งอวี้ถอดมาลามงกุฎ และเปลี่ยนชุดลำลอง

ฉินเทียนจูงเฟยมั่วมายังประตูห้องโถงด้านข้าง

“ฝ่าบาท พวกเราต้องไปกันแล้ว”

ทหารเปลวเพลิงแดงได้จัดทัพเตรียมออกเดินทางแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ต้องไปพบเย่จั้นให้ได้

ในทุกปีเขาจะกลับมาเนื่องในวันเกิดของไทเฮา ตอนนี้ไทเฮาสิ้นพระชนม์แล้ว ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อใด

เมื่อนึกถึงเสด็จอาที่ปกป้องตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เย่จิ่งอวี้ก็ยิ่งทำใจไม่ได้

เขาพลิกตัวขึ้นม้า เมื่อควบลงบนหน้าก็ออกจากวังทันที

ณ ป้อมปราการหลวง เย่จั้นยังคงอยู่ในชุดคลุมสีขาว นั่งอยู่บนหลังม้าศึก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูเคร่งขรึม และท่าทางการเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างทหารก็ปรากฏให้เห็นชัด

ด้านหลังของเขามีกลุ่มทหารเปลวเพลิงแดงในชุดเกราะสีแดง ราวกับกลุ่มเปลวไฟ ซึ่งทำให้เสื้อคลุมสีขาวราวหิมะดูสะดุดตายิ่งขึ้น

เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้นำกลุ่มทหารวังขี่ม้าเข้ามา เย่จั้นพลิกตัวลงจากม้า เขาสะบัดชุดคลุมออกและคุกเข่าลงบนพื้น และทำความเคารพตามแบบของแม่ทัพ

“กระหม่อมเย่จั้น ขอถวายบังคมฝ่าบาท”

เย่จิ่งอวี้กระโดดลงจากหลังม้าอย่างงดงาม สองมื้อเอื้อมไปพยุงเย่จั้น

“เสด็จอาไม่ต้องมากพิธี รีบลุกขึ้นเถิด”

เย่จั้นค่อยๆ ยืนขึ้น และมองไปยังเย่จิ่งอวี้

พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเป็นมิตร “การจากลาครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อใด ฝ่าบาทต้องดูแลให้ดี อย่าทำงานหนักจนร่างกายอ่อนล้า”

เมื่อได้ยินดังนั้น ลำคอของเย่จิ่งอวี้ก็แห้งผากเล็กน้อย

เย่จิ่งอวี้ส่ายหน้า

“ไม่เคย ข้าจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินเสียงอะไรแบบนี้มาก่อน”

เย่จั้นปล่อยมือที่พยุงเขาไว้ ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “ในเมื่อพระองค์อ่อนไหวต่อเสียงเช่นนี้ จะต้องมีบางสิ่งที่ยังไม่รู้เชื่อมโยงกันอยู่แน่นอน”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและพูดว่า “ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น ในเมื่อเสด็จอามอบสิ่งนี้ให้แก่ข้า ข้าจะลองศึกษาให้ดี”

“ดีเลย จำไว้ว่าต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”

เย่จั้นพูดจบก็แสดงความเคารพต่อเย่จิ่งอวี้

“ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว กระหม่อมสมควรเคลื่อนทัพแล้ว”

เย่จิ่งอวี้รู้ดีว่าการจากครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงพูดขึ้นว่า “เสด็จอาดูแลตัวเองด้วย”

“ฝ่าบาทก็เช่นกัน”

เย่จั้นพูดจบก็พลิกตัวขึ้นหลังม้า

ทหารเปลวเพลิงแดงแยกตัวออกจากกันราวกับกระแสน้ำ เพื่อหลีกทางให้เย่จั้น

เย่จั้นไม่ได้หันหลังกลับ ทันทีที่เขย่าบังเหียน เขาก็ตีม้าแล้ววิ่งตรงออกไปจากเมือง

ในขณะเดียวกันนั้น ร่างที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงหรูหรายืนอยู่บนยอดเขา พร้อมกับพัดที่โบกอยู่ในมือ

เขาแสยะยิ้มที่มุมปาก รอยยิ้มที่ร้ายกาจที่สุด

พูดราวกับกำลังละเมอ “เย่จั้นหนา เย่จั้น เจ้าออกมาได้เสียที...”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์