สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 408

“ทำไมจู่ๆ ถึงจะไปเจียงวูอย่างกะทันหันเช่นนี้”

ผู้เฒ่ากวนถามด้วยความประหลาดใจ

อินปู้อวี่พูดตามความจริง “วันนี้ท่านพ่อของข้าไปที่ห้องหนังสือเพื่อหารืองานบ้านมืองกับฝ่าบาท แต่บังเอิญเหลือบไปเห็นรายงานด่วนแปดร้อยลี้จากด่านถงกู่ ว่าสถานการณ์สงครามในเจียงวูตอนนี้อยู่ในตึงเครียด ด่านถงกู่อาจไม่สามารถรักษาไว้ได้”

คิ้วยาวของผู้เฒ่ากวนย่นทันที

“เมื่อไม่กี่วันก่อน ดินปืนถูกส่งไปยังเจียงวูแล้วนี่ ทำไมการสู้รบถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ หรือว่าแม่ทัพที่รักษาเมืองเป็นพวกเมาหัวราน้ำไม่สนใจงานการ”

ผู้เยาว์ทั้งสามมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไร กวนเซี่ยวยิ่งดูเหมือนจมดิ่งในภวังค์แห่งความครุ่นคิด

กวนฮั่นหลินกล่าวเสริมอีกว่า “เจ้าสองคนเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกลจากเมืองซุ่ยหาน ตอนนี้ต้องไปเจียงวูอีก สุขภาพร่างกายจะทนได้อย่างไร”

อินปู้อวี่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร เดิมทีข้ากับท่านพ่อก็เป็นแม่ทัพทหารอยู่แล้ว ในฐานะแม่ทัพ เราควรต่อสู้ในทุกทิศทาง การปกป้องบ้านเมืองเป็นความรับผิดชอบของเรา หากให้พวกเราอยู่เสพสุข จะยิ่งไม่คุ้นชินมากกว่า”

ผู้เฒ่ากวนพยักหน้า

“คำพูดนี้ดี แต่เราต้องดูว่าฝ่าบาททรงคิดอย่างไร”

อินปู้อวี่รับคำเบาๆ และพูดว่า “พรุ่งนี้หลังการประชุมเช้า ท่านพ่อไปขออนุญาตออกรบจากฝ่าบาท ข้าหวังว่าอัคราจารย์จะรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงนะขอรับ”

ชายชราหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ข้าจะมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน ข้าจะรอดื่มสุราแห่งชัยชนะจากพวกเจ้าสองพ่อลูกด้วย”

อินปู้อวี่ประกบมือคำนับแล้วพูดว่า “เมื่อเจียงวูสงบลง พวกเราสองคนพ่อลูกจะกลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด”

ทันใดนั้นกวนเซี่ยวก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ คุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังตุบ

“ท่านปู่ หลานก็อยากขอออกรบเหมือนกัน จะไปเจียงวูกับท่านอาอิน”

ในอดีตเขาเห็นโจรเป็นเพื่อน เกือบจะก่อให้เกิดหายนะ โชคดีที่อินชิงเสวียนปลุกเขาให้ฟื้นคืนสติ บัดนี้เมื่อได้รู้ว่าสองพ่อลูกตระกูลอินกำลังจะเดินทางไปรบที่เจียงวู เขาก็อยากจะทำหน้าที่นั้นด้วย

สีหน้าของผู้เฒ่ากวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขามีหลานชายคนนี้เพียงคนเดียว เขาจะตัดใจปล่อยไปได้อย่างไร

เมื่อเห็นว่าปู่ไม่พูด กวนเซี่ยวก็ลดแขนลงกับพื้น แล้วพูดว่า “ท่านปู่สอนข้ามาตั้งแต่เด็กว่าเป็นชายชาติทหารต้องพลีชีพในสนามรบ การตายในสนามรบ ถือเป็นเกียรติสูงสุดของแม่ทัพทหาร แม้ว่าหลานจะไม่ใช่แม่ทัพ แต่ก็ต้องการทำเพื่อเจียงวู หลานยังต้องการชดใช้บาปของตัวเอง มีเพียงการสังหารศัตรูจากเจียงวูให้มากเท่านั้น ถึงจะสามารถตอบแทนพระกรุณาของฝ่าบาทได้”

เมื่อฟังน้ำเสียงที่ดังเป็นจังหวะจะโคนของหลานชาย กวนฮั่นหลินก็ทั้งพอใจและเศร้าใจไปพร้อมกัน

นี่เป็นต้นกล้าเพียงต้นเดียวที่เหลืออยู่ในตระกูลกวน หากเป็นไปได้ เขาไม่ต้องการให้กวนเซี่ยวต้องผ่านความยากลำบากใดๆ แต่เนื่องจากเขาเป็นบุตรชายของตระกูลกวน จึงไม่ควรเป็นดอกไม้ที่ถูกเพาะปลูกในเรือนกระจก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาประคบประหงมจนเกินไป เขาคงไม่ถูกอาซือหลานยุงยงเสี้ยมสอน จนทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้...

พอนึกถึงตรงนี้ กวนฮั่นหลินก็รู้สึกว่าตัวเองสอนหลานชายผิดไป

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจยาว

“ในเมื่อเจ้าอยากไปค่ายทหารเพื่อสัมผัสประสบการณ์นั้นจริงๆ ก็รอข่าวอยู่ที่จวนเถอะ ถ้าฝ่าบาทอนุญาตให้อาอินของเจ้าออกเดินทางไปรบ เจ้าก็ไปกับพวกเขาได้”

ทันใดนั้นกวนเซี่ยวก็ยิ้มแย้มด้วยความดีใจ ก้มศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า กล่าวว่า “ขอบคุณท่านปู่ ขอบคุณท่านปู่!”

“ลุกขึ้นเถอะ”

ผู้เฒ่ากวนยื่นมือออกไปช่วยพยุงกวนเซี่ยวขึ้น กวนเซี่ยวมองไปยังอินปู้อวี่ทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

อินปู้อวี่ส่งยิ้มให้เขา ทั้งสองเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเทียบกับอินสิงอวิ๋นที่อายุมากกว่าแล้ว กวนเซี่ยวมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับอินปู้อวี่มากกว่า

ผู้เฒ่ากวนกล่าวว่า “เช่นนี้แล้ว พรุ่งนี้ข้าก็จะไปประชุมเช้า ถ้าเจียงวูเป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ ฝ่าบาทจะกล่าวถึงเรื่องนี้ในราชสำนักแน่นอน ตอนนี้ก็นับว่าเจ้าออกนับทัพแทนข้าแล้ว อย่าทำให้ข้าเสียหน้าเด็ดขาด”

กวนเซี่ยวพยักหน้าแรงๆ

“หลานทราบแล้ว หลานจะเชื่อฟังคำสั่งของท่านอาอินทุกประการ”

อินปู้อวี่ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าจะกลับไปบอกท่านพ่อฟังว่าสหายกวนจะเข้าร่วมกองทัพด้วย อัคราจารย์ก็ถึงเวลากินยาและพักผ่อนแล้ว”

อินชิงเสวียนก็ยืนขึ้นเช่นกัน

นางเงียบอยู่ตลอดเวลา แต่นางสามารถเข้าใจความคิดของกวนเซี่ยว และความไม่เต็มใจของชายชราได้เช่นกัน แต่ในเมื่อนี่คือเส้นทางที่ปู่หลานสองคนเลือก นางจึงไม่มีอะไรที่จะพูดโน้มน้าวใจอีก

ระหว่างทางกลับอินปู้อวี่ถามว่า “ทำไมน้องหญิงใหญ่ไม่พูดอะไรเลยล่ะ”

ขันทีน้อยได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทำความสะอาดพื้นเสร็จในเวลาอันสั้น หลี่เต๋อฝูถามอย่างระมัดระวัง “หรือว่าอาหารเหล่านี้ไม่ถูกปากพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทต้องการจะเสวยสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่”

“ไม่มี เจ้าออกไปก่อนเถอะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้หรี่ตามองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าหล่อเหลาดูมืดมน

“พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของฝ่าบาทดูไม่ค่อยดีนัก หลี่เต๋อฝูก็ไม่กล้าพูดอะไร เขาก้มหลังแล้วถอยออกไปนอกประตู

ทันทีที่เดินไปถึงประตู ก็ได้ยินเย่‍จิ่ง‍อวี้พูดอย่างเย็นชา “หลี่เต๋อฝู ไปเอาชุดฝึกยุทธ์ของข้ามา”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เต๋อฝูขานตอบ พลางคิดในใจ เกรงว่าวันนี้เหล่าพี่ชายน้องชายในตำหนักฉงหวู่ จะประสบภัยพิบัติอีกแล้ว

แต่ถึงกระนั้นยอมให้ผู้อื่นซวยดีกว่าต้องซวยเสียเอง แล้วหลี่เต๋อฝูก็วิ่งไปไปเอาชุดฝึกยุทธ์เข้ามา

หนึ่งชั่วยามต่อมา เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็เดินออกจากตำหนักฉงหวู่ สีหน้าที่ดูเคร่งเครียดก็อ่อนลงมาก

หลี่เต๋อฝูถามยิ้มๆ “ฝ่าบาท ต้องการรับพระกระยาหารหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พยักหน้า

แล้วหลี่เต๋อฝูก็พูดด้วยความดีใจ “กระหม่อมจะไปที่ห้องพระเครื่องต้นเดี๋ยวนี้”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดเบาๆ “ทำอะไรง่ายๆ ก็พอแล้ว”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เต๋อฝูขานตอบ และวิ่งพรวดพราดออกไปอย่างยินดี

เมื่อมองไปที่พระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็นึกถึงอินชิงเสวียนขึ้นมา เพียงครู่หนึ่งก็รู้สึกราวกับว่านางจากไปนานเหลือเกิน...

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์