สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 459

พวกเขาทั้งสามพูดคุยเกี่ยวกับโรงเรียนสอนการต่อสู้อยู่พักหนึ่ง จากนั้นอินชิงเสวียนก็กล่าวลาและจากไป

กวนฮั่นหลินเดินออกส่งไปจนถึงนอกจวน มองตามแผ่นหลังของคนสองคนที่ค่อยๆ หายไป คิ้วสีเทาของเขาขมวดมุ่น

แซ่จู หรือว่าเป็น...

กวนฮั่นหลินขมวดคิ้วพร้อมกับเดินกลับห้อง เขาเขียนจดหมายทันที และส่งไปที่ยังซอยจู๋หลินในอวิ๋นโจว

ถ้าเป็นตระกูลจูจริงๆ ตัวเองก็ได้ทำบาปมหันต์แล้ว

บนถนนเทียน อินชิงเสวียนถอนหายใจ

มาด้วยความหวัง แต่กลับต้องผิดหวังกลับไป

เย่จั้นกล่าวว่า “กุ้ยเฟยอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าเดินทางไปทั่วทุกสารทิศ รู้จักเพื่อนชาวยุทธ์มากมาย สามารถช่วยพระสนมค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้”

อินชิงเสวียนมีสีหน้ายินดี

“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านอ๋องแล้ว”

เย่จั้นยิ้มอย่างสง่างาม และพูดว่า “พระสนมไม่ต้องเกรงใจ สิ่งที่เจ้าทุ่มเทเพื่อต้าโจว ทำให้ข้าเลื่อมใสศรัทธาจริงๆ ข้าก็อยากจะทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนแทนต้าโจวด้วย”

“แค่เป็นเพียงสิ่งที่สามารถทำได้เท่านั้น ตวามจริงแล้วไม่มีอะไรน่ายกย่องเลย”

อินชิงเสวียนพูดอย่างสงบเยือกเย็น

เดิมทีเย่จั้นมีความสงสัยเกี่ยวกับนาง แต่ตอนนี้เขาคิดตกแล้ว

บางทีเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็พูดถูก ไม่ว่าตำราเหล่านั้นและโทรศัพท์มือถือแปลกๆ จะมาจากที่ใด ก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่สิ่งที่อินชิงเสวียนทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อต้าโจวและราษฎร นางก็เป็นคนดี

“พระสนมถ่อมตัวแล้ว”

ทันทีที่เย่จั้นพูดจบ เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับบรรยากาศรอบๆ ตัว เขามองไปที่มุมกำแพงโดยสัญชาตญาณ และเห็นสัญลักษณ์พระจันทร์ครึ่งเสี้ยว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

“พระสนมยังมีที่ใดที่อยากไปอีกหรือไม่”

อินชิงเสวียนมองท้องฟ้า ก็เห็นว่าดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว จึงคิดว่าวันนี้พอเท่านี้ก่อน

พรุ่งนี้ค่อยออกมาแต่เช้า จะได้กลับไปเยี่ยมท่านแม่รองและน้องหญิงเล็กที่จวน จากนั้นก็ไปเยี่ยมที่จวนของเย่จิ่งหลาน

“ไม่ล่ะ กลับวังกันเถอะ”

“ได้”

ทั้งสองพร้อมด้วยทหารรักษาพระองค์ก็เดินทางกลับวัง พอถึงประตูวัง เย่จั้นก็หยุดยืนม้าอยู่กับที่

“ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการอีก ขอส่งถึงตรงนี้ พวกเจ้าทุกคนต้องพาพระสนมกลับไปถึงตำหนักจินหวู”

อินชิงเสวียนแปลกใจ ขณะที่เดินทางมาตามถนนเทียน นางก็สังเกตเห็นแล้วสีหน้าของเย่จั้นดูผิดปกติ เกิดอะไรขึ้นกันนะ

นึกสงสัยอยู่ในใจ แต่กลับพูดอย่างสงบราบเรียบ “เชิญท่านอ๋องเถิด”

ในตำหนักจินหวู เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงกำลังเล่นอยู่กับไป๋เสวี่ย ตั้งแต่เจ้าสุนัขมาที่ตำหนักจินหวู มันก็ชอบเที่ยวตระเวนไปทั่ว ในตอนกลางวันไม่รู้ว่าวิ่งไปที่ไหนมา ทุกวันตอนกลางคืนถึงจะกลับมา

อินชิงเสวียนไม่ได้เห็นมันมาหลายวันแล้ว จึงเข้าไปตบหัวใหญ่ๆ ของมัน

ทันใดนั้นไป๋เสวี่ยก็กระโดดขึ้นมาด้วยความดีใจ กอดเอวของอินชิงเสวียนด้วยอุ้งเท้าอันใหญ่โต

“อยากกินน้ำอีกแลวล่ะสิ ช่วงนี้เจ้าไปเที่ยวเล่นที่ไหนมา”

ไป๋เสวี่ยร้องคราง แต่อินชิงเสวียนไม่เข้าใจภาษาสุนัขจริงๆ นางจึงเข้าไปในห้องและนำอ่างน้ำมาให้สุนัข แล้วไป๋เสวี่ยก็ดื่มกินอย่างมีความสุขทันที

อวิ๋นฉ่ายรีบพูดว่า “พระสนม เรื่องนี้ให้หม่อมฉันทำก็ได้เพคะ ท่านยุ่งมาทั้งวันแล้ว รีบพักผ่อนเถิด”

“ข้าไม่เหนื่อย”

อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปอุ้มเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงขึ้นมา ขณะที่โอบกอดร่างเล็กๆ ที่อ่อนนุ่มของเขา ในใจก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงเหยียดมือเล็กๆ ขึ้นมาโอบรอบคอของอินชิงเสวียนอย่างรู้ความ และกดแก้มน้อยๆ แนบชิดกับนาง ซึ่งเป็นสิ่งที่อบอุ่นและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำนม

อินชิงเสวียนหันหน้าไปหา แล้วจูบแก้มเล็กๆ จ้ำม่ำของเขาอย่างแรง

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงเลียนแบบนางทันที ทำปากมู่ทู่ และจูบแก้มของอินชิงเสวียนจนเปียกชื้นไปหมด

อินชิงเสวียนไม่รังเกียจน้ำลายของลูกตัวเองอยู่แล้ว แล้วนางก็ขบมือน้อยของเขา เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงรู้สึกจั๊กจี้ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

ขณะที่ทั้งสองกำลังเล่นกัน เย่จั้นก็เจอสัญลักษณ์และตามมาถึงนอกเมืองแล้ว

ด้านหน้าเนินดิน มีร่างผอมบางร่างหนึ่งยืนอยู่ คนผู้นี้สวมชุดเครื่องแบบลัทธิเต๋าสีฟ้า ครึ่งหนึ่งของใบหน้าถูกซ่อนอยู่ในเงามืด หนวดเครายาวปลิวไสว ให้กลิ่นกลายความเป็นเทพเซียนแห่งลัทธิเต๋า

เมื่อเห็นคนผู้นี้ เย่จั้นก็รู้สึกตื่นเต้น

“เป็นพิณการเวกของหลี่เฟิ่งอี๋?”

เย่จั้นกล่าวว่า “ถูกต้อง”

ชายชราถามอย่างกังวลใจว่า “ยามนี้พิณตัวนี้อยู่ที่ใด”

เย่จั้นเหลือบมองชายชราแล้วพูดว่า “คนจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เอาไปแล้ว ศิษย์ก็อยากรู้มากว่าสำนักเสียงศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใด ท่านอาจารย์โปรดบอกด้วย”

ชายชราพูดว่า “สำนักเสียงศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ในสถานที่ลับ อาจารย์ก็ไม่ทราบชัดเจนเช่นกัน เจ้าต้องการตามหาสำนักเสียงศักดิ์สิทธิ์เพราะพิณตัวนั้น?”

“มิใช่ ศิษย์ต้องการตามหาใครบางคน ศิษย์สงสัยว่าการหายตัวไปของคนผู้นี้จะเกี่ยวข้องกับสำนักเสียงศักดิ์สิทธิ์ เพราะครั้งหนึ่งนางเคยบรรเลงพิณการเวกได้”

ชายชราลูบเคราแล้วพูดว่า “อาจารย์เดินทางไปครานี้อาจได้พบคนจากสำนักเสียงศักดิ์สิทธิ์ คนนั้นมีนามว่าอะไร ข้าจะได้ถามแทนเจ้า”

จู่ๆ เย่จั้นก็แสดงสีหน้ายินดี

“ขอบคุณท่านอาจารย์ นางแซ่อิน ชื่อเต็มๆ คืออินหลี”

ชายชราพยักหน้าแล้วพูดว่า “เอาล่ะ อาจารย์จดจำไว้แล้ว เช่นนั้นต้องขอลา เจ้าก็รักษาตัวด้วย”

เย่จั้นถามอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ไปทำอะไรที่เป๋ยไห่หรือขอรับ”

ชายชราพูดอย่างเคร่งขรึม “เมื่อจำเป็นต้องเดินทางย่อมมีธุระต้องจัดการ เจ้าและข้าศิษย์อาจารย์ต้องแยกจากกัน ณ ที่แห่งนี้แล้ว รักษาตัวด้วย”

หลังจากพูดจบ ชายชราก็เหาะเหินเดินอากาศไป จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อมองดูทิศทางที่ชายชราหายตัวไป เย่จั้นก็รู้สึกอึดอัด ทำไมผู้คนจากทุกสำนักจึงไปเป๋ยไห่ทุกๆ สองสามปี

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ชาวยุทธ์ มีบางสิ่งที่ไม่สะดวกที่จะถามเพิ่มเติม

หลังจากมองส่งชายชราจนสุดสายตาแล้ว เขาก็ขึ้นหลังม้าเดินทางกลับเข้าวัง

ในเวลาเดียวกัน ที่ด่านถงกู่ก็เริ่มมีการปิดล้อมอย่างเป็นทางการครั้งแรก

อินจ้งส่งทหารที่มีกำลังแขนน่าทึ่งบรรทุกดินปืนและตะขอบินให้เป็นทัพหน้า ปีกทั้งสองข้างมีทหารม้าที่ใส่โกลนม้า ตรงกลางเป็นทหารโล่ยักษ์

ทั้งหมดกรีธาทัพเดินทางไปตีล้อมเมืองลั่วสยาที่ถูกเจียงวูยึดไปอย่างยิ่งใหญ่

อูเอิน อา‍ซือ‍หลาน และจูอวี้เหยียนยืนอยู่บนหอคอยกำแพงเมือง ทอดสายตามองมาจากระยะไกล ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน และแววตาเคลือบคลุมไม่แน่นอน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์