สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 474

หลังจากนอนหลับสะลึมสะลือไม่นานนัก อินชิงเสวียนก็ถูกอวิ๋นฉ่ายปลุกขึ้นมา

นางกอดผ้าห่มไว้ไม่อยากตื่น แต่เมื่อนึกได้ว่าตัวเองเป็นคนเสนอเรื่องการเรียน จึงไม่อาจถอดใจกลางคันก่อนใครได้

จึงทำได้เพียงกัดฟันลุกขึ้นมา เข้าไปแช่น้ำพุวิญญาณในมิติ ตอนที่ออกมาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาไปทั่วทั้งตัว

เมื่อนึกได้ว่าเย่จิ่งอวี้ก็อดนอนมาทั้งคืน เมื่อครู่เข้าประชุมในราชสำนักคงง่วงนอนแย่ คืนนี้จะเตรียมน้ำพุวิญญาณให้เขาหนึ่งถัง เพื่อขจัดความเหนื่อยล้า

มื้อเช้ากินอะไรง่ายๆ จากนั้นก็ออกจากวังพร้อมหลี่ชีและฉินเทียน

เมื่อมาถึงสำนักศึกษาหลวง ก็ได้ยินใต้เท้าทั้งหลายกำลังปรึกษาหารือกัน บอกว่าช่วงนี้มีคนแก่หายไปจากเมืองหลวงหลายคน

อินชิงเสวียนจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา

“เหตุใดคนแก่จึงหายตัวไปได้?”

ใต้เท้าโจวส่ายหน้า ลูบเคราแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ตอนมาที่นี่ได้ยินชาวบ้านพูดคุยกัน คิดว่าเป็นเรื่องจริง ได้ยินว่ามีคนแจ้งทางการแล้ว”

อินชิงเสวียนตกใจมาก หรือว่าเป็นฝีมือของชาวเจียงวูอีกแล้ว ในเมื่อจูอวี้เหยียนชำนาญในการใช้พิษกู่ ไม่แน่ว่านางอาจจะจับคนไปทำการทดลอง

แต่ทว่าเพียงแค่การจับคน ไม่จำเป็นต้องมาจับถึงเมืองหลวงก็ได้ ที่นี่เป็นเมืองหลวงใต้พระบาทโอรสแห่งสวรรค์ จะเล็ดลอดจากสายตาของสายลับวังหลวงได้อย่างไรกัน

ฉางจี้จิ่วพูดว่า “อาจไม่ได้หายตัวไปก็ได้ ไม่แน่ว่าแค่ไปเก็บสินค้าบนภูเขา มีคนแก่หลายคนออกเดินทางไปด้วยกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พวกเราเข้าเรียนกันก่อนดีกว่า”

อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าเป็นเหตุผลนี้เช่นกัน จึงเดินมาด้านหน้ากระดานดำ และทำการสอนบทเรียนในวันนี้

ซึ่งยังคงเน้นคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ และจะสอนวิชาเคมีวันละเล็กน้อยจนกว่าพวกเขาจะเข้าใจเกือบหมด อินชิงเสวียนค่อยแลกอุปกรณ์ภาชนะ เพื่อพาพวกเขาทำการทดลอง

ในขณะเดียวกันนั้น โรงเรียนสอนการต่อสู้ของกวนฮั่นหลินก็ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว และได้รับสมัครผู้มีวิชาการต่อสู้จากทั่วทุกสารทิศ เพื่อมาศึกษาที่นี่

สำหรับการเดินทัพทำสงคราม อินชิงเสวียนไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย การทำสงครามเหล่านั้นที่นางดูในโทรทัศน์ ล้วนเป็นวางแผนการรบบนกระดาษ ซึ่งไม่อาจใช้ได้ในชีวิตจริง

สิ่งเดียวที่จะจัดเตรียมให้ท่านผู้เฒ่ากวนได้ก็คือหนังสือ ‘ตำราพิชัยสงครามของซุนวู’ และ ‘สามสิบหกกลยุทธ์’

สำหรับหนังสือสองเล่มนี้ ท่านผู้เฒ่ากวนดีใจราวกับได้รับสมบัติ เขารีบไปที่กรมโยธาเพื่อขอกระดาษเปล่า และนำเนื้อหาหนังสือสองเล่มนี้คัดลอกออกมา แปะไว้บนกำแพง เพื่อให้นักเรียนที่ศึกษาวิชาการต่อสู้ได้อ่าน

เอกสารการรับสมัครถูกแจกจ่ายไปยังเมืองและมณฑลต่างๆ เมื่อเห็นราชสำนักออกเอกสารฉบับนี้ ผู้มีวิชาการต่อสู้หลายคนก็เห็นความหวังที่จะก้าวไปข้างหน้าทันที จึงพากันแห่ไปยังเมืองหลวง

ทุกสิ่งดำเนินการตามความคิดของอินชิงเสวียน ในที่สุดนางก็รู้สึกถึงการได้มีส่วนร่วมในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจว

อินชิงเสวียนรู้ขอบเขตความสามารถของตัวเองเป็นอย่างดี นางไม่อาจดูแลได้ครบถ้วนรอบด้าน จึงสามารถทำได้เพียงสุดความพยายามของตัวเอง เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ กระตุ้นให้ประเทศเกิดความก้าวหน้า แม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องน้อยนิด แต่นางก็ไม่ได้ใช้ความพยายามทั้งหมดไปโดยเปล่าประโยชน์

ไม่นานก็ถึงเวลาเที่ยง อินชิงเสวียนอธิบายโจทย์ข้อสุดท้ายให้แก่ใต้เท้าทั้งหลาย จากนั้นก็ออกไปจากสำนักศึกษาหลวง

ตกบ่าย เย่จิ่งอวี้ยังคงอ่านสาส์นกราบทูลอยู่ในห้องหนังสือ นางจึงไม่รีบร้อนที่จะกลับไป เมื่อนึกได้ว่าออกจากวังมาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่เคยได้พบเย่จิ่งหลานเลย

จึงพูดว่า “พวกเราไปเยี่ยมจวนฝูอี้อ๋องกัน”

หลี่ชีและฉินเทียนทำตามบัญชาของอินชิงเสวียนอย่างแน่นอน ทั้งสามคนหันหัวม้าเพื่อตรงไปยังจวนอ๋อง

ทว่าที่ประตูโรงน้ำชา เห็นเย่จั้นยืนอยู่ในชุดขาวที่พริ้วไหว

อินชิงเสวียนก็ไม่ได้พบเขาหลายวันแล้วเช่นกัน นางหยุดมาแลถามว่า “หลายวันนี้ท่านอ๋องมีอาการเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”

เย่จั้นยิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยนและพูดว่า “ข้าสบายดีทุกอย่าง เข้ามาดื่มชาเขียวสักแก้วหรือไม่?”

เมื่อเห็นว่าโรงน้ำชาแห่งนี้ดูดีทีเดียว อินชิงเสวียนจึงพยักหน้า

ทั้งสองหาที่นั่งติดริมหน้าต่าง เมื่อนั่งลงแล้วอินชิงเสวียนก็ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “ท่านอ๋องคิดอย่างไรจึงออกมาดื่มชาเพคะ?”

คนที่มาดื่มชาไม่คิดเห็นเช่นนั้น จึงหัวเราะและก่นด่าว่า “ไอ้คนตาบอด ในเมื่อเป็นสงครามภายในนิกาย เช่นนั้นเจ้าได้ยินมาจากที่ใด?”

ชายตาบอดหัวเราะแหะๆ พร้อมบรรเลงซอสองสาย

“ลูกไก่ไม่ถ่ายของเสีย ย่อมมีเหตุผลนานาประการ”

มีคนหัวเราะและพูดขึ้นว่า “เจ้าคุยโวโอ้อวดสินะ”

ชายตาบอดฝืนพูดต่อว่า “นี่เป็นเรื่องที่พ่อของข้าเล่าให้ฟัง เล่าต่อกันมาว่าในสงครามครั้งนั้นมีผู้คนล้มตายจำนวนมหาศาล ซึ่งแลกมาด้วยห้าสิบปีแห่งสันติสุขของดินแดนจงหยวน หากว่าศัตรูตงหลิวกลุ่มนั้นข้ามทะเลได้ ประชาชนจะต้องตกอยู่ในความทุกขเวทนา ล้มตายกันเป็นจำนวนมากแน่นอน”

“ถุย ก็แค่ศัตรูกลุ่มเดียว มีอะไรน่ากลัวนักหนา”

ชายตาบอดพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ได้ยินว่าพวกเขาชำนาญวิชาแยกร่าง และยังสามารถกำบังกายได้อีกด้วย นับเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นบ่อยมากจนยากที่จะป้องกัน อีกทั้งพวกเขายังอัปลักษณ์มากทีเดียว และยังมีสิ่งชั่วร้ายเป็นหญิงชายในร่างเดียวกัน หากไม่มีนิกายขัดขวางอยู่ที่ทะเลเหนือ เจ้าและข้าจะมีชีวิตที่สุขสงบได้อย่างไรกัน”

อินชิงเสวียนคิดคล้อยตาม พูดเช่นนี้ก็เหมือนกับเจ้าผีน้อย นางจำได้จากตัวละครบูรพาไร้พ่ายที่อยู่ในโทรทัศน์ ซึ่งจะมีเจ้าผีน้อยที่กำบังกายได้ และเมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายเรียกว่าแคว้นตงหลิว มันดูคล้ายกันมากทีเดียว

เพียงแต่สงครามประเภทนี้ เหตุใดจึงเชื่อมโยงถึงนิกายได้เล่า?

อินชิงเสวียนไม่เข้าใจอย่างมาก นางมองไปที่เย่จั้น กลับเห็นว่าเย่จั้นเงี่ยหูฟังด้วยสีหน้าที่จริงจังและหนักแน่นอย่างมาก

เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของอินชิงเสวียน เย่จั้นก็หันหน้ามา หัวเราะเสียงเรียบและพูดว่า “เรื่องราวแบบนี้ฟังเป็นเรื่องขำขันก็พอ อย่าได้จริงจังไป”

อินชิงเสวียนตอบรับ นางคิดในใจว่า เย่จั้นทำสีหน้าตั้งใจฟังอย่างมาก ไม่เหมือนว่าเป็นเพียงเรื่องขำขันเท่านั้น

ชาหนึ่งเหยือกดื่มหมดอย่างรวดเร็ว เมื่อฟังชายตาบอดพูดประโยคนั้นกลับไปกลับมา อินชิงเสวียนก็รู้สึกเบื่อหน่าย

เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์เริ่มเบนไปทางทิศตะวันตกเล็กน้อย จึงลุกขึ้นและพูดว่า “ข้าออกมานานพอสมควรแล้ว ไม่อาจกลับช้ากว่านี้ได้ เช่นนั้นข้าขอทูลลาเพคะ”

เย่จั้นตั้งสติกลับมา ลุกขึ้นและพูดว่า “เหนียงเหนียงควรรีบกลับจริงๆ ข้าเองก็จะไปดูที่วัดสุ่ยจิ้งเช่นกัน”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์