ณ ตำหนักจินหวู
เสี่ยวหนานเฟิงที่ไม่เห็นอินชิงเสวียนทั้งคืน ปากเล็กๆ เบะออก และวิ่งโผเข้าใส่ด้วยสีหน้าน้อยใจ
เขากอดขาของอินชิงเสวียน เงยหน้าเล็กๆ ขึ้น พูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “สวยแม่ ลูกคิดถึงสวยแม่”
หัวใจของอินชิงเสวียนอ่อนยวบลง เอื้อมมือไปอุ้มเด็กอ้วนตัวน้อยขึ้นมา
จูบใบหน้าเล็กๆ ที่เรียบเนียนของเขาเบาๆ
“เสด็จแม่ก็คิดถึงลูกรักเหมือนกัน เมื่อคืนเจ้าเป็นเด็กดีไหม”
อวิ๋นฉ่ายพูดทันทีว่า “เมื่อคืนองค์ชายน้อยร้องไห้เกือบครึ่งค่อนคืนเพคะ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไปหาเสด็จแม่ ยิ่งโตยิ่งติดแม่จริงๆ เลย”
มือเล็กป้อมของเสี่ยวหนานเฟิงกอดนางแน่นขึ้น
“คิดถึงแม่แม่ คิดถึงแม่แม่”
เมื่อเผชิญเทวดาตัวน้อยน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ ใครจะไม่หลงได้ลงคอ
“ลูกเป็นเด็กดีนะ เมื่อแม่ทำธุระเสร็จ จะได้อยู่กับลูก ไม่พรากจากกันอีก”
เสี่ยวหนานเฟิงดูเหมือนจะเข้าใจ เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแฉ่ง
ริมฝีปากอันอ่อนนุ่มจูบใบหน้าของอินชิงเสวียน แล้วพูดเสียงใสแจ๋ว “ไม่พรากกัน”
“เป็นเด็กดีจริงๆ”
แค่ตัวหนักไปหน่อย
เมื่อไม่ใช้พลังจากมิติ อินชิงเสวียนก็เป็นเพียงคนธรรมดา การอุ้มเด็กที่มีน้ำหนักมากกว่ายี่สิบจิน หรือสิบกิโลกรัมนั้น ก็เหลือกำลังจริงๆ เพียงไม่นานก็รู้สึกปวดแขน
จึงวางเจ้าเด็กตัวกลมลงพื้น แล้วจูงมือเล็กๆ เดินเข้าไปในห้อง
เสี่ยวหนานเฟิงนั่งบนตักของอินชิงเสวียนอย่างเฉลียวฉลาด ถามด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาแบบเด็กๆ “ลูกคิดถึงเด็จพ่อ เด็จพ่ออยู่ไหน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของอินชิงเสวียนหายไปในทันที
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา นางพยายามอย่างเต็มที่ที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็ทนไม่ได้ทันที
อารมณ์พังทลายลงพลัน หยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมาทันที
นางก็อยากรู้ว่าฝ่าบาทอยู่ที่ไหน ถูกทรมานหรือไม่ แต่ตอนนี้นางรู้แค่สถานที่โดยประมาณว่าอยู่ในเป่ยไห่เท่านั้น ยิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางจะพาเขากลับมาได้หรือไม่
พ่อแม่ของอินชิงเสวียนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็กมาก นางจึงไม่อยากให้ลูกของเจ้าของร่างเดิมต้องมีชะตากรรมเหมือนตัวเอง
แค่มีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่เข้มแข็งได้
เสี่ยวหนานเฟิงมองดูแม่ด้วยสีหน้างุนงง ดวงตาสีดำคู่โตเบิกกว้าง จากนั้นก็ยกมือเล็กป้อมขึ้นมา เช็ดน้ำตาบนใบหน้าของอินชิงเสวียนอย่างงุ่มง่าม
“สวยแม่ ไม่แงแง สวยแม่เด็กดี”
เมื่อได้ฟังเสียงที่นุ่มนิ่มนี้ หัวใจของอินชิงเสวียนก็เจ็บปวดมากยิ่งขึ้น นางกอดเสี่ยวหนานเฟิงแน่น น้ำตาไหลเอ่อออกมาเงียบๆ
ที่แท้นางก็มีช่วงที่อ่อนแอเป็นเหมือนกัน ที่แท้นางก็ร้องไห้อย่างน่าสมเพชได้เหมือนกัน
คำว่ารัก เป็นอันตรายต่อคนจริงๆ
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเย่จิ่งอวี้นั้นไม่ใช่ความรู้สึกฉันชายหญิงโดยสิ้นเชิง แต่เป็นความรักของคนที่เข้าใจกัน คนที่ทะนุถนอมซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง
เมื่อได้กลิ่นน้ำนมจางๆ บนตัวลูกชาย อินชิงเสวียนพูดเสียงสะอื้นว่า “วางใจเถิด เสด็จพ่อต้องมาแน่ แม่จะพาเขากลับมาแน่นอน”
เสี่ยวหนานเฟิงเม้มริมฝีปากอีกครั้ง แล้วจูบแก้มของอินชิงเสวียน
“สวยแม่เป็นเด็กดี เด็จพ่อเป็นเด็กดี ลูกก็เป็นเด็กดี”
“อื้ม เราทุกคนเป็นเด็กดีนะ”
อินชิงเสวียนสูดจมูกแรงๆ ปาดน้ำตาบนใบหน้าอย่างเงียบๆ และส่งยิ้มกว้างให้ลูกชาย
เมื่อเห็นแม่ยิ้ม เสี่ยวหนานเฟิงก็ปรบมืออย่างชอบอกชอบใจ ชี้ไปข้างนอกแล้วพูดว่า “เหมย ดูเหมย”
นางกัดริมฝีปากสีชมพู เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “เสด็จพี่สะใภ้สองวันนี้กลับบ้านหรือเปล่า”
อินชิงเสวียนพยักหน้าและพูดว่า “อื้ม เมื่อคืนนี้ข้าพักอยู่บ้าน”
ดวงตาของเย่ไห่ถังเป็นประกาย เอ่ยถามว่า “ที่บ้านของเสด็จพี่สะใภ้เรียบร้อยดีทุกอย่างหรือ”
“ขอบคุณองค์หญิงที่ระลึกถึง ทุกอย่างเรียบร้อยดี”
อินชิงเสวียนก็เป็นคนที่ผ่านโลกมาก่อน พอจะมองออกว่าเย่ไห่ถังกำลังคิดอะไรอยู่ แต่มีบางสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยจะดีกว่า ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ จะต้องทำให้นางเสียใจไปไย
เย่ไห่ถังเขินอายเกินกว่าจะถามเรื่องอื่นอีก หันไปคุยเรื่องอื่น แต่ในใจยังคงนึกถึงอยู่เสมอ สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหว เมื่อเห็นนางกำนัลยืนอยู่ไกลๆ ก็ถามทันที “เสด็จพี่สะใภ้ แล้วคุณชายรองอินสบายดีไหม”
“ก็สบายดี ดอกนี้สวยจังเลยนะ”
อินชิงเสวียนตอบนางคล้ายไม่ได้ตั้งใจ พลางชี้ไปที่ดอกเหมยสีแดงบนกิ่งไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง
เย่ไห่ถังไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้
เสี่ยวหนานเฟิงวิ่งเล่นอยู่ท่ามกลางดอกไม้พักหนึ่ง ก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เริ่มกอดเสี่ยวอานจื่ออย่างมีฉลาดแกมโกง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมไป อินชิงเสวียนจึงถือโอกาสกล่าวลา พาลูกกลับไปที่ตำหนักจินหวู
ระหว่างรับประทานอาหารเย็น ซูฉ่ายเวยที่ไม่ได้เจอหลายวันก็เดินมาหา
ยามนี้นางบำรุงตัวจนมีน้ำมีนวล ภาพลักษณ์ดูดีมีระดับ ทั้งยังร่าเริงและมีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อก่อนมาก
เดิมทีอินชิงเสวียนก็อยากไปเจอนางก่อนออกเดินทางเช่นกัน แม้ว่าในวังจะมีนางสนมไม่มากนัก แต่ก็ยังมีนายหญิงมากกว่ายี่สิบคน เกรงว่าคงมีเรื่องนั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ในระหว่างที่นางไม่อยู่คงต้องให้ซูฉ่ายเวยช่วยดูแลแล้ว
หลังจากนำสินค้าที่ต้องขายให้นางแล้ว ก็พูดตรงๆ “อีกไม่กี่วันข้าอาจจะต้องออกจากวัง จะกลับมาเมื่อไหร่คงบอกได้ยาก เรื่องในวังหลัง ต้องรบกวนให้เจ้าช่วยดูแลแล้ว”
ซูฉ่ายเวยรีบถาม “กุ้ยเฟยจะไปไหน ฝ่าบาทจะเสด็จประพาสออกนอกวังหรือ”
อินชิงเสวียนคลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “มีแค่ข้าที่ออกไป หากมีสิ่งใดที่เจ้าไม่สามารถตัดสินใจได้ ก็หารือกับฝ่าบาทได้”
เดิมทีคิดว่าซูฉ่ายเวยคงจะมีความสุขที่ได้มีโอกาสอยู่ตามลำพังกับฝ่าบาท แต่ไม่นึกว่าจู่ๆ นางจะขมวดคิ้ว ถามด้วยเสียงแผ่วเบา “กุ้ยเฟย ฝ่าบาททรงวางแผนที่จะแยกย้ายวังหลังเมื่อใด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...