สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 662

อินชิงเสวียนพูดอย่างสบายๆ ว่า “อาจจะเป็นคนไข้ของเจ้าก็ได้”

เย่จิ่งหลานส่ายหัวแล้วพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ โดยพื้นฐานข้าทำการตรวจคนแก่เป็นส่วนมาก อีกทั้งมากสุดคือวันละสองคน และจำได้หมดแทบทุกคน”

“เช่นนั้นเจ้ารู้จักนางที่ใด?”

อินชิงเสวียนหาเรื่องมาถามแก้ขัด

ก่อนหน้านี้เย่จิ่งหลานอาศัยอยู่ที่ตำหนักฉู่เย่ว์มาตลอด เขารู้จักคนไม่มากนัก

เย่จิ่งหลานเองก็สงสัยเช่นกัน แต่เขายังคงรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้ ต้องเคยพบเจอที่ไหนมาก่อนแน่

เขาจ้องผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอด อินชิงเสวียนจึงพูดเร่งรัดอย่างอดไม่ได้ “คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว รีบทำการผ่าตัดก่อนเถอะ พวกเรายังต้องรีบเดินทางอีก ตอนนี้เสียเวลามามากแล้ว และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในวังเป็นอย่างไรบ้าง”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ในวัง’ เย่จิ่งหลานก็พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้าคิดออกแล้ว ผู้หญิงคนนี้เคนเป็นคนในวัง”

อินชิงเสวียนตกใจเล็กน้อย

“ข้าหลวงหญิงงั้นหรือ? แต่เหตุใดข้าหลวงหญิงจึงมีวิทยายุทธ์สูงส่งเช่นนี้ หรือว่าเป็นองครักษ์เงาของเย่จิ่งอวี้?”

“เย่จิ่งอวี้?”

ทันใดนั้นเย่จิ่งหลานก็ตบที่ศีรษะแล้วพูดว่า “ถูกต้อง ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นหญิงรับใช้ของหวนไท่เฟย เมื่อก่อนแม่เลี้ยงคนนั้นของข้าเคยพาข้าไปที่ตำหนักจินหวู ข้าจำได้ไม่ผิดแน่”

เย่จิ่งหลานข้ามมิติมาค่อนข้างเร็ว เพราะร่างกายที่เล็กเกินไป อีกทั้งยังไม่มีกำลังวังชา จึงไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของมิติได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจึงได้แต่พักตัวอยู่เงียบๆ

นับตั้งแต่ฮ่องเต้องค์ก่อนประชวร จนกระทั่งเย่จิ่งอวี้ผลัดเปลี่ยนราชวงศ์และขึ้นสู่บัลลังก์ เขาเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา จึงรู้จักกับคนแก่ชราในวังมากเป็นธรรมดา

“หากข้าจำไม่ผิด นางน่าจะมีชื่อว่าฮวาเชียน”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“จริงหรือ นางคือฮวาเชียนจริงหรือ?”

ตามคำบอกเล่าของไทเฮา ฮวาเชียนอาจจะเป็นฆาตกรที่สังหารหวนไท่เฟย ไม่นึกว่าจะบังเอิญมาพบกันที่นี่

“เย่จิ่งหลาน เจ้าต้องช่วยทำให้นางมีชีวิตรอดให้ได้ ข้ามีเรื่องสำคัญต้องถามนาง”

เย่จิ่งหลานพูดตอบรับ “วางใจได้ การผ่าตัดเล็กแบบนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับข้า”

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามครึ่ง ในที่สุดก็เริ่มเย็บปิดปากแผลแล้ว

อุปกรณ์ติดตามต่างๆ แสดงให้เห็นว่าตัวชี้วัดของผู้หญิงนั้นดีทุกอย่าง อินชิงเสวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกรอกน้ำพุวิญญาณให้นาง

โชคดีที่เจ้าสิ่งนี้ไม่ต้องใช้คะแนนสะสม ไม่เช่นนั้นคงจ่ายไม่ไหว

ตอนนี้หวังเพียงฮวาเชียนรีบฟื้นขึ้นมา และถามเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นให้ชัดเจน?

เย่จิ่งหลานถอดถุงมือปลอดเชื้อออก

“เจ้ามีเรื่องอะไรอยากถาม? หลังจากหวนไท่เฟยสิ้นใจแล้ว ข้าหลวงหญิงในวังต่างก็ถูกฆ่าตายจนหมด ตอนนั้นเจ้าน่าจะยังไม่ได้ข้ามมิติมา เหตุใดจึงรู้จักนาง?”

อินชิงเสวียนไม่ได้ปิดบัง และเล่าเรื่องที่ไทเฮาพูดกับเย่จิ่งหลานอย่างละเอียดถี่ถ้วน

เย่จิ่งหลานเข้าใจในทันที

“อย่างนี้นี่เอง หญิงรับใช้คนหนึ่งที่เก่งวรยุทธ์น่าสงสัยมากทีเดียว”

เขาเหลือบมองอินชิงเสวียน และพูดด้วยความอิจฉาว่า “เย่จิ่งอวี้ได้แต่งงานกับเจ้า ช่างโชคดีมากจริงๆ”

อินชิงเสวียนขำพรวดออกมา และพูดหยอกล้อว่า “ทำไมหรือ ตัวเล็กแค่นี้ริอ่านจะมีภรรยาแล้วหรือ?”

เย่จิ่งหลานพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “อย่างน้อยข้าก็เป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีแล้วนะ แค่ลองคิดดูก็ผิดด้วยหรือ?”

อินชิงเสวียนมองเขาอย่างสำรวจ ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ร่างกายของเจ้าแค่แปดขวบเท่านั้น อยากมีภรรยาก็ต้องรอไปอีกห้าหกปีก่อนนะ”

เย่จิ่งหลานถูกพูดแทงใจดำ จึงเงียบลงในทันที

อินชิงเสวียนรีบพูดปลอบว่า “อย่างไรเจ้าก็เป็นโสดมาแล้วยี่สิบแปดปี ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอก กัดฟันเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว”

เย่จิ่งหลานกลอกตาโตใส่นาง

“กว่าข้าจะโต ก็คงสายเกินไปแล้ว”

อินชิงเสวียนเลิกคิ้วหนึ่งที

เขาไพล่หลังแล้วพูดว่า “ท่านนี้คือลูกสะใภ้ของหวนไท่เฟย และเป็นภรรยาคนแรกของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน กุ้ยเฟยแห่งราชวงศ์”

ฮวาเชียนตกใจมาก

“นี่… คือเรื่องจริงงั้นหรือ?”

เย่จิ่งหลานย้อนถามว่า “โกหกเจ้าเพื่ออะไรกัน?”

ฮวาเชียนถามด้วยความตื่นเต้นอีกว่า “ที่นี่คือเมืองหลวงงั้นหรือ? อวี้เอ๋อร์อยู่ที่ใด?”

อินชิงเสวียนพูดเสียงเข้ม “ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามของข้า เหตุใดพวกเราต้องตอบคำถามของท่านด้วยเล่า”

ฮวาเชียนใช้แรงเม้มริมฝีปากที่ซีดขาว และพูดเสียงเบาว่า “เรื่องนี้มีความยาว ข้าบอกได้เพียงว่าข้าไม่ได้ฆ่าหวนไท่เฟย และนางก็ยังไม่ตาย”

“ยังไม่ตายงั้นหรือ?”

อินชิงเสวียนมองไปที่ฮวาเชียนด้วยความตกใจ และถามอีกว่า “ในเมื่อหวนไท่เฟยยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดจึงไม่กลับเมืองหลวง?”

ฮวาเชียนรีบพูดว่า “สถานการณ์มีความซับซ้อน ข้าจะค่อยๆ อธิบายให้พวกท่านฟัง ตอนนี้หวนไท่เฟยได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่านทั้งสองได้โปรดช่วยข้ารายงานฮ่องเต้ด้วย มีเพียงการใช้เลือดของเขาทำตัวยานำ จึงจะสามารถช่วยหวนไท่เฟยให้รอดได้”

อินชิงเสวียนและเย่จิ่งหลานมองหน้ากัน โดยยังไม่แน่ใจว่าคำพูดของฮวาเชียนเป็นจริงหรือเท็จ

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อตัวเอง ฮวาเชียนจึงพยายามพูดอีกว่า

“ขอเพียงท่านทั้งสองยินดีจะช่วยข้า ฮวาเชียนยอมเป็นม้าเป็นวัว เพื่อตอบแทนบุญคุณของท่านทั้งสอง”

เมื่อมองดูดวงตาสีแดงที่กระตือรือร้นคู่นั้น ซึ่งดูไม่เหมือนการพูดโกหกอินชิงเสวียนครุ่นคิดคู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวง ฝ่าบาทก็ไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง เขาถูกผู้เฒ่าที่สวมหน้ากากจับตัวมาได้หลายวันแล้ว ตอนนี้พวกเรากำลังรีบเดินทางไปที่เป่ยไห่เพื่อตามหาฮ่องเต้”

ฮวาเชียนสีหน้าดูแย่ขึ้นมาในทันที

“ฝ่าบาทยังไม่ได้กลับไปเลยหรือ?”

อินชิงเสวียนพูดว่า “ยังเลย หรือท่านรู้ที่อยู่ของฝ่าบาท”

ฮวาเชียนไร้เรี่ยวแรงในทันที นางล้มลงบนโต๊ะผ่าตัดด้วยสายตาว่างเปล่า พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและสิ้นหวังว่า “เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? นี่คือความต้องการของสวรรค์งั้นหรือ ผู้คุมตราไม่มีทางรอดจริงๆ ใช่หรือไม่?”

ทันใดนั้น อินชิงเสวียนก็นึกถึงหยกชิ้นนั้นที่มีการประทับรอบผู้คุมตรา จึงถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ผู้คุมตราที่ท่านพูดถึง คือสกุลเซี่ยวใช่หรือไม่ หรือว่าท่านก็เป็นคนของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์