สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 757

กวนเซี่ยวสูดอากาศเข้าเต็มปอด มองดูทะเลอันมืดมิดที่ปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์ แล้วอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ราวกับว่ามีสัตว์ร้ายตัวใหญ่กำลังนั่งปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์อยู่ตรงหน้าเขา เพียงเปิดปาก ก็สามารถกลืนเขาลงไปได้ ความกล้าหาญและแรงกระตุ้นเมื่อครู่นี้ หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที

อาซือหลานยื่นมือออกไปกดไหล่เขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่มีอุปสรรคใดในโลกนี้ที่ไม่สามารถเอาชนะได้ เจ้ายังเด็ก ไม่เคยมีประสบการณ์อะไรมากมาย หากเสียชีวิตไปเช่นนี้ มิต้องทำให้ผู้ที่รักต้องทนทุกข์ ศัตรูมีความสุขหรอกหรือ”

กวนเซี่ยวตัวสั่นอีกครั้ง เขาเช็ดน้ำบนใบหน้าอย่างแรง รู้สึกว่าสิ่งที่ชายชุดดำพูดนั้นมีเหตุผล

เขายังไม่ได้ฆ่าอาซือหลาน จะตายไปง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้

แม้ว่าฟางรั่วจะไม่ชอบเขา แต่เขาจะช่วยนางแก้แค้น สังหารปีศาจนั่นให้สิ้น

หลังจากพบเหตุผลที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่ จิตใจกวนเซี่ยวก็กระจ่างแจ้งทันที

ยืนขึ้นและพูดว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสที่สั่งสอน เมื่อครู่ผู้เยาว์คิดไม่ตก วู่วามไปแล้ว”

“ตอนนี้คิดได้แล้ว?”

อาซือหลานแสร้งถามอย่างเป็นมิตร

กวนเซี่ยวพยักหน้าอย่างแรง

“คิดได้แล้ว ผู้เยาว์คนนี้จะมีชีวิตอยู่ให้ดี ทำงานที่ยังไม่เสร็จให้สำเร็จ”

“งั้นก็ดี” อาซือหลานเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “เจ้าคงมาจากที่อื่นกระมัง หากยังไม่มีที่อยู่ สามารถไปพักอยู่ในสำนักของเราได้ชั่วคราว สถานการณ์ในเป่ยไห่ตอนนี้วุ่นวาย ทุกสำนักดูเหมือนจะสงบ ความจริงกลับชุลมุนวุ่นวาย เจ้าอยู่คนเดียวในโรงเตี๊ยมจะไม่ปลอดภัย”

กวนเซี่ยวก็รู้กำลังของตัวเอง ได้รับการคุ้มครองจากสำนัก ย่อมเป็นความปรารถนาที่ถึงร้องขอก็อาจไม่ได้ จึงพยักหน้าทันควันและพูดว่า “เช่นนั้นต้องขอบคุณผู้อาวุโสมากขอรับ”

อาซือหลานหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าและข้าได้มาพบกันที่นี่ นับเป็นโชคชะตา ตอนนี้เริ่มดึกแล้ว ลมทะเลหนาวเย็น เรากลับกันเถอะ!”

กวนเซี่ยวตอบตกลง รีบสวมเสื้อผ้าแล้วเดินตามอาซือหลานกลับไปที่สำนักเซียวเหยา

อาซือหลานเหลือบมองเงาข้างๆ ที่เดินตามตัวเอง มุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย

คนโง่นี่ไม่มีความก้าวหน้าเลยจริงๆ...

หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์

อินชิงเสวียนถือพิณการเวกเข้าไปในมิติ

แม้ว่านางจะไม่ได้รับผลกระทบจากการแว้งกัดของพิณการเวก แต่ก็ยังไม่สามารถแสดงอานุภาพของเพลงหมื่นกระบี่เศษดาราได้อย่างเต็มที่ นางยังต้องฝึกฝนเพลงหยกรัตติกาลที่ลิ่นเซียวสอนนางด้วย

เมื่อเทียบกับเพลงหมื่นกระบี่เศษดารา ทำนองเพลงหยกรัตติกาลนั้นง่ายกว่ามาก แต่อานุภาพกลับไม่ด้อยไปกว่าเพลงแรก แต่อินชิงเสวียนจับจุดสำคัญไม่ได้เลย

ตอนนี้นั่งอยู่ในมิติ จิตใจสงบราวกับสายน้ำ ทำนองที่เล่นก็ปวกเปียกไร้กำลัง ไม่มีพลังเท่าที่ควร

นางค่อนข้างหงุดหงิด แล้ววางพิณไว้อีกด้าน

เย่จิ่งอวี้เข้ามาปลอบ “ยิ่งเร่งยิ่งช้า ทุกสิ่งต้องให้ความสำคัญกับโอกาส เสวียนเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องใจร้อน”

อินชิงเสวียนถอนหายใจพูดว่า “คนตงหลิวกำลังมาแล้ว ข้าจะไม่กังวลได้หรือ”

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ กลับยิ่งหลงทางได้ง่าย วิถีแห่งพิณและวรยุทธ์มีเส้นทางที่แตกต่างกันแต่มีเป้าหมายเดียวกัน ทั้งคู่ให้ความสำคัญกับแนวทางที่มั่นคง และในเวลาเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับโชคชะตาด้วย”

อินชิงเสวียนพยักหน้า

“เรื่องระหว่างชายหญิง ไม่เกี่ยวกับเรื่องบ้านเมือง แม้ฝ่าบาทจะไม่รู้ ก็คงไม่เสียหายกระมัง”

“ข้าไม่ได้โทษพวกเจ้า แค่เกลียดความรู้สึกที่ถูกปิดหูปิดตา โดยเฉพาะจากคนที่ใกล้ชิดข้าที่สุด”

เมื่อเห็นสีหน้าน้อยใจของเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็หัวเราะและพูดว่า “พวกเราไม่ได้คิดเช่นนั้น ข้าเดาว่าเสด็จอาคงมีความกังวล ถึงอย่างไรเขาก็มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ และท่านอาของข้าก็เป็นคนตระกูลอิน ยามนี้ข้าก็เป็นกุ้ยเฟย ท่านพ่อและพี่ชายของข้าเป็นแม่ทัพ ถ้าพวกเขาสองคนเป็นคู่รักกันอีก…”

อินชิงเสวียนจงใจพูดครึ่งหนึ่ง แล้วก็ถูกดีดหน้าผากไม่เบาแต่ไม่แรง

ก่อนที่นางจะโกรธ เย่จิ่งอวี้ก็กอดนางไว้ เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เป็นเรื่องง่ายสำหรับฮ่องเต้ที่จะขยายบางสิ่งบางอย่างจนไม่มีที่สิ้นสุด นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถ้าข้าไม่จับตาดูเหล่าข้าราชบริพารเหล่านั้นตลอด ไม่ช้าก็เร็วจะเกิดเรื่องโกลาหล ดังคำกล่าวที่ว่า อยู่ในจุดนั้นต้องคำนึงถึงเรื่องตรงนั้น เมื่อนั่งในตำแหน่งนั้นแล้ว มีหลายเรื่องที่ไม่อาจทำตามดั่งใจได้ อย่างเช่นตอนที่อยู่ในวังหลวง ต่อให่ข้ามีแผนการมากมาย แต่มีหลายครั้งที่ข้าไม่สามารถปกป้องเจ้าได้”

เขาหลุบตามองอินชิงเสวียนด้วยสายตาอ่อนโยน พูดอย่างจริงใจ “แต่ว่าเมื่อใดก็ตาม ข้าจะไม่มีวันสงสัยเจ้าและเสด็จอา หากตามหาจนพบอินหลีได้ ข้าจะประทานการแต่งงานให้พวกเขาด้วยตัวเอง”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่จิ่งอวี้พูด อินชิงเสวียนก็นึกถึงองค์หญิงขึ้นมาอีก หากนางตกหลุมรักพี่รองของนางจริงๆ ฮ่องเต้น้อยจะเห็นด้วยหรือไม่

จากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองคิดไกลเกินไป จึงรีบหยิบพิณการเวกขึ้นมา ขจัดความคิดที่กวนในใจออกไป และนิ้วทั้งสิบก็กรีดกรายบรรเลง

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนตั้งสมาธิแน่วแน่ เย่จิ่งอวี้ก็ออกไปอยู่ข้างๆ ไม่รบกวนนางอีก

ทุกวันนี้ เขากำลังคิดว่าจะปรับปรุงกำลังภายในของตัวเองให้ก้าวหน้าได้อย่างไร จะได้ยุติการต่อสู้ในเป่ยไห่โดยเร็วที่สุด วันนี้เมื่อได้ยินอินชิงเสวียนพูดถึงเย่จั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเมืองหลวง

ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไร แต่ด้วยความสามารถของเสด็จอา คงสามารถรับมือได้อยู่แล้ว

อีกยี่สิบวันก็จะถึงวันสิ้นปีแล้ว หวังว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะทำให้ชาวตงหลิวเจ็บหนักและพิการไปให้หมดสิ้น คืนความสงบสุขให้กับเป่ยไห่

เมื่อคิดถึงราษฎรที่หนีไปจากเป่ยไห่ ในดวงตาส่วนลึกของเย่จิ่งอวี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์