สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 772

กวนเซี่ยวตกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรในเวลาสั้นๆ อีกทั้งเขายังไม่เชื่อคำพูดของผู้หญิงคนนี้

หญิงสาวเห็นว่าเขาไม่พูดจา จึงค่อยๆ พูดโน้มน้าว “เจ้าคงจะเป็นลูกศิษย์ของสำนักใดสำนักหนึ่งสินะ ในเมื่อเป็นชาวยุทธภพ ก็ไม่มีผู้ใดที่ไม่ปรารถนาในอำนาจ ขอเพียงมีอำนาจคับฟ้า ผู้หญิงทุกคนต่างแย่งกรูกันเข้าไป ผู้ที่เคยเหยียบย่ำเจ้าไว้ใต้ฝ่าเท้าในอดีต จะเงยหน้าขึ้นและมองดูเจ้าซึ่งอยู่เหนือกว่า เจ้ามีความเห็นอย่างไรบ้าง?”

แม้ว่าผู้นี้จะเป็นคนที่สุนัขชั้นต่ำส่งมาก็ไม่เป็นไร ขอเพียงสามารถช่วยนางปลดจากโซ่เหล็กได้ นางก็จะได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง

เมื่อนึกถึงฟางรั่ว กวนเซี่ยวก็รู้สึกใจเต้นเล็กน้อย

แต่กลับถามออกมาอย่างอดไม่ได้

“ผู้ใดจับท่านมาขังไว้ที่นี่ และผู้ที่สวมรอยเป็นท่านคือผู้ใดกัน?”

หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นว่า “มันคือสัตว์เดรัจฉานที่แฝงตัวเข้ามาในสำนักเซียวเหยา เขามีนิสัยดุร้ายและเจ้าเล่ห์ มีไฝน้ำตาอยู่ที่มุมตาของเขา สิ่งที่ข้ารู้เกี่ยวกับเขาก็มีเพียงเท่านี้”

เมื่อได้ยินคำว่าไฝน้ำตา กวนเซี่ยวก็หายใจถี่ขึ้น

“เขามีอายุราวยี่สิบกว่าปี หน้าตาหล่อเหลา ไฝน้ำตาอยู่ที่มุมตาซ้ายใช่หรือไม่?”

น้ำเสียงของหญิงสาวเย็นชาในทันที และพูดเสียงฮึดฮัดว่า “พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกันจริงๆ ด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รีบไสหัวไปเถอะ!”

คำพูดนี้แสดงถึงการยอมรับอย่างไม่ต้องสงสัย กวนเซี่ยวใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

นึกไม่ถึงว่าเจ้าสำนักเซียวเหยาในตอนนี้ ก็คือไอ้สุนัขชั้นต่ำอย่างอาซือหลาน พยายามหาแทบตายไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น

“ข้าจะช่วยท่านออกไปเดี๋ยวนี้”

กวนเซี่ยวหยิบมีดสั้นออกมา และสับลงบนโซ่เหล็กสองครั้ง แต่กลับไม่มีผลลัพธ์อะไร

หญิงสาวตกใจเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกวนเซี่ยวจึงเปลี่ยนความคิดกะทันหันเช่นนี้ แต่นางไม่มีเวลามานั่งคิด จึงรีบหันหน้าไปทางด้านขวา

“ขยับหินก้อนใหญ่ก้อนนั้น ด้านล่างมีร่องน้ำอยู่ ด้านในมีมีดพระจันทร์สีดำที่สามารถตัดเหล็กได้เหมือนดินเหนียว มีเพียงมีดเล่มนั้นที่สามารถตัดโซ่เหล็กบริสุทธิ์ที่จองจำข้าได้”

กวนเซี่ยวรีบไปโยกย้ายหินใหญ่ก้อนนั้น ปรากฏว่าด้านในมีมีดดำอยู่เล่มหนึ่ง รูปร่างลักษณะคล้ายกับดาบยาวประหลาดรูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว

เขาใช้สองมือจับตัวดาบไว้แน่น และตะโกนเสียงดัง พร้อมสับโซ่เหล็กลงไปเต็มแรง

ณ โถงร่วมธรรม

คำพูดของอินชิงเสวียนทำให้ทุกคนฮือฮาขึ้นมา

ภายใต้สายตาของทุกคน อาซือหลานค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

เขาหัวเราะเสียงแหบแห้ง

“แม่นางอินหมายความว่าอย่างไรกัน?”

อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด “ข้ามองตัวตนของเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เลิกเสแสร้งได้แล้ว”

นางหันหน้าไปยังเจ้าสำนักทุกท่าน ประสานมือแล้วพูดว่า “ตัวตนที่แท้จริงของเขาคนนี้คือท่านอ๋องน้อยอาซือหลานแห่งเจียงวู หากผู้อาวุโสทุกท่านไม่เชื่อ เปิดหมวกไม้ไผ่ของเขาออกดูก็จะรู้เจ้าค่ะ”

เดิมทีเจ้าสำนักเซี่ยวก็ไม่ชอบสำนักเซียวเหยา เมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดเสียงเรียบว่า “แม้ชิงเสวียนไม่ใช่ลูกศิษย์ในสำนักของข้า แต่ข้าก็เชื่อใจนาง นางไม่มีทางใส่ความผู้อื่นแน่นอน ฉุยอวี้ ถอดหมวกไม้ไผ่ของเจ้าออกเสีย”

อาซือหลานหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “แม้ข้าจะถอดหมวกไม้ไผ่ออก แต่พวกท่านจะตัดสินจริงเท็จได้อย่างไร ข้าไม่เคยเปิดเผยหน้าตาที่แท้จริงต่อคนภายนอก พวกท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าฉุยอวี้ตัวจริงมีหน้าตาแบบไหน?”

เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเข้มว่า “ได้ยินว่าสำนักเซียวเหยาก่อสร้างสำนักมาหลายสิบปีแล้ว แม้ว่าผู้อาวุโสในยุทธภพจะไม่รู้จักเจ้า แต่สามารถแยกแยะได้จากอายุ อย่ามัวพูดพร่ำ รีบถอดหมวกไม้ไผ่ของเจ้าออกเสีย!”

อาซือหลานพูดเยาะเย้ย “น่าขัน ข้าเป็นถึงเจ้าสำนัก เหตุใดต้องฟังคำสั่งคนไร้สำนักอย่างพวกเจ้าด้วยเล่า”

เจ้าสำนักเซี่ยวพูดเสียงเข้ม

“เย่จิ่งอวี้เป็นหลานชายของข้า เหตุใดจึงไม่ใช่คนของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ความต้องการของเขาก็คือความต้องการของข้า”

ไม่ว่าเขาจะไม่ชอบขี้หน้าเด็กหนุ่มตระกูลเย่อย่างไร แต่ก็ไม่ยอมให้คนนอกพูดมากแม้เพียงคำเดียว

และอาซือหลานเจอกับทักษะช่วงชิงลมปราณของอินชิงเสวียน ความสามารถทุกด้านจึงถูกตัดกำลังลง

แม้เขาจะดึงดูดพลังภายในจากยอดหญิงมาเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่ได้รับวิชากำลังภายในขั้นสุดท้ายของเซียวเหยา จึงไม่สามารถฝึกฝนได้จนสำเร็จ แม้ว่าลมปราณไม่ถูกแย่งชิง เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับเจ้าสำนักเซี่ยว

ระหว่างที่เหม่อลอย ฝ่ามือลมของเย่จิ่งอวี้ก็มาที่ข้างหู

อาซือหลานมองด้วยความโหดร้าย ในเมื่อตัวตนถูกเปิดเผย เช่นนั้นก็ต้องลากคนไปตายด้วยกัน ในเมื่อเทพยดาไม่ให้เขาได้ตัวอินชิงเสวียนมา เช่นนั้นเขาจะทำให้นางต้องทรมานไปตลอดชีวิต

พลังภายในพลิกหมุนอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดรวมอยู่บนฝ่ามือ ได้ยินเพียงเสียงดังปัง อาซือหลานและเย่จิ่งอวี้ต่างก็ถอยหลังคนละสามก้าว

เสียงผ้าฝ้ายขาดแสบแก้วหูดังมาจากเหนือศีรษะ หมวกไม้ไผ่ใบใหญ่ถูกกำลังภายในของเย่จิ่งอวี้ตัดขาดเป็นสองชิ้น ผ้าคลุมหน้าสีดำและหนาก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงพื้น ใบหน้าที่อ่อนวัยและดุร้ายก็ผ่านเข้าสู่ม่านตาของทุกคน

ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นหน้าตาของฉุยอวี้มาก่อน แต่ก็เป็นอย่างที่เย่จิ่งอวี้กล่าวไว้ สำนักเซียวเหยาก่อตั้งสำนักมาหลายสิบปีแล้ว อายุของอาซือหลาน จะเป็นเจ้าสำนักฉุยได้อย่างไร

เจ้าสำนักหานเตาพูดขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กล้ามาล้อเล่นกับพวกข้างั้นหรือ สมควรตายอย่างแท้จริง”

สงครามเมื่อวานนี้ สำนักหานเตาสูญเสียลูกศิษย์ห้าสิบกว่าคน ซึ่งกำลังโกรธและไร้ที่ระบายอารมณ์ เมื่อรู้เรื่องนี้แล้วก็รีบชักดาบกระโดดออกมาทันที

จากนั้นเจ้าสำนักเล็กๆ หลายคนก็กระโดดตามออกมา มีทั้งคนที่อยากประจบเจ้าสำนักเซี่ยว และมีทั้งคนที่อยากร่วมสนุกด้วย และยังมีคนที่ไม่ชอบขี้หน้าสำนักเซียวเหยาอีกด้วย ทุกคนมีความคิดที่แตกต่างกัน และล้อมอาซือหลานเอาไว้

เจ้าสำนักเซี่ยวยืนอยู่อีกด้าน เพื่อกำบังผู้เยาว์ทั้งสองไว้ด้านหลัง เสื้อคลุมยาวขยับเองโดยไร้ลมพัดผ่าน สายตาที่สุกใสคู่หนึ่งจ้องไปที่เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียน

เฮ่ออวิ๋นทงก็ยืนอยู่ข้างกายเขา สายตามองไปรอบตัวเจ้าสำนักเซี่ยว ในใจก็รู้สึกสงสัย

ไม่พบกันเพียงไม่กี่วัน ดูเหมือนว่ากำลังภายในของเหล่าเซี่ยวจะก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว

เมื่ออายุมากขึ้น การทะลุขีดจำกัดของร่างกายจึงเป็นเรื่องยาก และยากยิ่งกว่าที่จะไปถึงระดับที่สูงขึ้น หรือว่าเขารู้ถึงวิธีการบุกทะลวงตอนที่อยู่ในคุกเหล็ก?

ในระหว่างที่ครุ่นคิด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ข้างหู

“อาซือหลาน วันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันตายของเจ้า”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์