สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 775

จังอวี้จิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “การได้ฉลองปีใหม่ที่ริมทะเลก็ดีเช่นกันนะเพคะ แม้ว่าหม่อมฉันจะเกิดอยู่ในหมู่บ้านประมง แต่ก็เคยเห็นเพียงแค่แม่น้ำ ไม่เคยได้เห็นทะเลที่กว้างใหญ่เช่นนี้มาก่อนเลยเพคะ”

“ทะเลเป็นสถานที่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกโล่งใจ เพียงแต่น่าเสียดายที่ช่วงนี้ยังไม่สงบ ข้าจึงไม่มีทางพาพวกเจ้าไปเล่นที่ริมทะเล”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อินชิงเสวียนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

เมื่อลองคิดดูอีกครั้ง ชาวตงหลิวพ่ายแพ้ติดต่อกันหลายครั้ง แม้ว่าจะหวนกลับคืนมาอีกก็ต้องใช้เวลาอีกสักพัก สองวันนี้น่าจะยังปลอดภัยอยู่

“วันนี้ตอนบ่าย พวกเจ้าทั้งสองตามฝูอี้อ๋องออกไปเล่นสิ!”

เมื่อสิ้นเสียงของอินชิงเสวียน เย่จิ่งหลานก็วิ่งออกมาจากห้อง

“อินชิงเสวียน ดูเหมือนว่าข้าจะมีกำลังภายในบ้างแล้ว”

อินชิงเสวียนไม่ค่อยอยากเชื่อ เพราะว่าเขาเพิ่งได้วิชากำลังภายในมาเมื่อวานนี้

“จริงหรือ?”

เย่จิ่งหลานพยักหน้าด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้นดีใจ

“หรือว่าเจ้าจะลองให้ข้าฟาดฝ่ามือดูล่ะ?”

อินชิงเสวียนรีบปฏิเสธในทันที

“ข้าไม่มีวิชาการต่อสู้ เจ้าไปฝึกซ้อมกับหวังซุ่นเถอะ อ้อ จริงด้วย อาซือหลานตายแล้วนะ”

“เขา... ตายแล้วจริงหรือ?”

เสียงที่สั่นเทาดังขึ้นมาจากด้านหลัง ซึ่งก็คือฟางรั่วที่ถอดหน้ากากออก

นางสวมกระโปรงสีขาวเรียบๆ ใบหน้าของนางยังคงสวยงาม ดวงตาที่บุ๋มลงเล็กน้อยของนางนับเป็นความงามที่แปลกใหม่ ทว่าสายตาในตอนนี้กลับเหม่อลอยเล็กน้อย

อินชิงเสวียนพูดเสียงเรียบว่า “ตายแล้วจริงๆ หัวและตัวแยกออกจากกัน”

จู่ๆ แววตาของฟางรั่วก็ตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย

“ศพของเขาอยู่ที่ใด ข้าอยากไปดู”

อินชิงเสวียนขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย ท่าทางการตายของอาซือหลานไม่น่าดูนัก นางเกรงว่าจะทำให้ฟางรั่วตกใจกลัว แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่นางเลือกเอง ตัวเองจึงไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเกี่ยว

“อยู่ที่โถงร่วมธรรม ข้าไม่แน่ใจว่ามีคนยกไปแล้วหรือยัง เจ้าลองไปดูก่อนก็ได้นะ”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ ได้โปรดบอกทางข้าด้วย”

อินชิงเสวียนบอกตำแหน่งที่อยู่แก่ฟางรั่ว ฟางรั่วจึงรีบเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับ

เป่ยไห่เป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆ มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ฟางรั่วใช้เวลาไม่นานก็หาโถงร่วมธรรมจนพบ ตอนนี้ทุกคนออกไปหมดแล้ว ด้านในเหลือเพียงความว่างเปล่า

เมื่อฟางรั่วเดินเข้ามา ก็เห็นวัตถุมีรูปร่างเหมือนคน ด้านบนคลุมผ้าสีดำไว้อยู่

ฟางรั่วเปิดผ้าสีดำออก ปรากฏว่าศีรษะถูกต่ออยู่กับคอของอาซือหลาน

ดวงตาของเขาปิดสนิท ใบหน้าของเขาซีดเซียวและไม่มีรอยเลือด ไฝน้ำตาก็เด่นชัดมากยิ่งขึ้น

ฟางรั่วโน้มเอวลง และจ้องอาซือหลานอยู่นิ่งๆ

นางย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่นางและอาซือหลานเพิ่งพบกัน ตอนนั้นทั้งสองยังเป็นเด็ก ไม่นานเวลาก็ผ่านไปหลายปี วรยุทธ์ของนางสูญหายไปหมด อาซือหลานกลับถูกแยกศีรษะและร่างออกจากกัน

จากเจียงวูตลอดจนถึงเมืองหลวง ภาพเหตุการณ์แต่ละฉากวิ่งผ่านหน้าไปราวกับโคมไฟ รอบดวงตาของฟางรั่วก็แดงระเรื่อขึ้นมา

“ยินดีด้วย ฟางรั่ว ในที่สุดก็ได้ล้างแค้นเสียที”

ฟางรั่วฉีกยิ้มที่มุมริมฝีปาก และพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ขอบคุณเจ้าคะ ขอบคุณที่ท่านมาเป่ยไห่เป็นเพื่อนข้า ข้าสมหวังดังใจแล้ว ท่านก็ควรกลับไปที่เมืองหลวงได้แล้ว”

กวนเซี่ยวพยักหน้า

“ใช่ ข้ารู้ ข้าเพียงอยากพบหน้าเจ้าอีกสักครั้ง ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายในภพชาตินี้แล้ว”

เขาไปหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เพื่อตามหาฟางรั่ว อินชิงเสวียนจึงบอกเขาว่าฟางรั่วมาที่โถงร่วมธรรม

เขามองเห็นไหล่ของฟางรั่วสั่นเทิ้มอยู่ตลอดเวลา จึงได้รู้ว่าคนที่นางรักยังคงเป็นอาซือหลาน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากเขาดันทุรังต่อไปก็คงไร้ซึ่งความหมายใด

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟางรั่วรู้สึกใจสั่น และชายตาที่แดงเล็กน้อยขึ้น

ระยะเวลาช่วงนี้ นางเคยชินกับการมีอยู่ของกวนเซี่ยว เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ หัวใจเหมือนถูกเข็มเงินจำนวนนับไม่ถ้วนเสียดแทง เจ็บปวดไปทั้งหัวใจ

แต่นางก็รู้ดีว่า กวนเซี่ยวมีชาติตระกูลเป็นอย่างไร นางยิ่งไม่ควรทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจอมพลเฒ่า เพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง

“จริงด้วย!”

นางแกล้งยิ้มอย่างสงบเสงี่ยม

“ถึงเวลาบอกลาแล้ว กวนเซี่ยว หากชาติหน้ามีจริง ข้าจะตอบแทนบุญคุณของท่านให้มากเป็นเท่าตัว”

ฟางรั่วพูดจบก็เดินผ่านกวนเซี่ยวไป ร่างกายที่ตรงตระหง่านก็เดินออกไปไกล

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์