สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 968

เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นต่างก็มองออกไปนอกตำหนัก

โหราจารย์ใบหน้ายิ้มแย้ม มีรอยยิ้มที่มุมปาก

เมื่อแต่งตั้งฮองเฮาแห่งต้าโจวแล้ว จึงจะเกิดความสมดุลปรองดองของยินหยางที่แท้จริง ส่วนเรื่องการโยกย้ายวังหลัง แม้ฝ่าบาทไม่มีพระราชโองการเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ทุกคนก็รู้แก่ใจดี

แต่ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคิดเพ้อฝันอยู่ ในเมื่อฝ่าบาทไม่ได้ประกาศต่อประชาชนใต้หล้า ก็เท่ากับว่ายังไม่ได้จัดการเรื่องนี้ให้สิ้นซาก ไม่แน่ว่าเป็นการตัดสินใจเพียงชั่ววูบ ขอเพียงลูกสาวของตัวเองยังอยู่ที่นี่ ก็นับว่ายังมีโอกาส

ฉินไห่ฉิวและหานสือมองหน้ากันและพยักหน้า

ต้าโจวมีฮองเฮาที่ดีเช่นนี้ ฝ่าบาทจะต้องทุ่มกำลังสร้างสรรค์ประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง ปกครองประเทศชาติเป็นอย่างดี ราวกับว่าทั้งสองคนเห็นว่าในอนาคตไม่ไกลนี้ ต้าโจวมีเกิดความเจริญรุ่งเรือง

ทุกคนต่างคิดเรื่องของตัวเอง อินชิงเสวียนและเย่จิ่งอวี้ก็เดินเข้าไปในตำหนัก

พวกเขาทั้งสองเดินไปจนถึงแท่นมังกรที่ฝังไว้ด้วยลูกปัดโค้งมังกรเก้าเม็ด จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับมาแล้วมองไปที่เหล่าขุนนาง

หลี่เต๋อฝูหยิบพระราชโองการมาทันที และคุกเข่าอ่านเสียงดัง

“ฝ่าบาทมีวีถีธรรมสูงส่ง ดูแลรากฐานจิตใจมนุษย์ ให้การศึกษาแก่ประเทศชาติ เป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลงระบบกษัตริย์ ทรงมอบเกียรติและประทานยศให้ สกุลอิน บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่อินจ้ง ตระกูลขุนนางผู้ภักดี มีนิสัยอ่อนโยนและเคร่งขรึม ประพฤติอยู่ในระเบียบมารยาท เป็นแบบอย่างที่ดีงาม สร้างชื่อเสียงที่ดีในราชสำนัก รักษาความเป็นตัวเอง และได้รับการแต่งตั้งจากทุกหมู่เหล่า โดยการถวายตราประทับและหนังสือแต่งตั้งแก่ฮองเฮา ซึ่งแสดงความจริงใจและความกตัญญูเพื่อให้เกียรติแก่ราชวงศ์ ใช้ความดีงามปกครองนางสนม ขอชื่นชมในสิ่งนี้และให้แผ่ความดีงามต่อเนื่องสืบไป ผู้ทรงกระทำได้ทุกสิ่งและปกครองแผ่นดินโดยธรรม ด้วยความเคารพอย่างสูง!”

ขุนนางทุกคนคุกเข่าลงทันที และพูดอย่างนอบน้อมว่า “ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี ขอฮองเฮาทรงพระเจริญ พันปี พันปี พันพันปี!”

เย่จิ่งอวี้ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย จิตใจที่ฮึกเหิมปรากฏบนใบหน้าของเขา

เขาสะบัดแขนเสื้อและพูดเสียงดังก้องว่า “ลุกขึ้นเถิด ถวายตราประทับหงส์และหนังสือแต่งตั้งแก่ฮองเฮา!”

ขันทีหนุ่มสองคนรออยู่ทางด้านซ้ายของเก้าอี้มังกร ถือตราประทับหงส์และหนังสือแต่งตั้งที่ทำจากหยกแท้เดินไปยังด้านหน้าของอินชิงเสวียน และคุกเข่าลงด้วยความเคารพ

อินชิงเสวียนรับทั้งสองสิ่งไว้ ใส่ไว้ในแขนเสื้อกว้าง พร้อมคุกเข่าลงโค้งคำนับ

“หม่อมฉันอินชิงเสวียน ขอบพระทัยในความเมตตาอันล้นเกล้า!”

เย่จิ่งอวี้ไม่อยากให้นางคุกเขาเลยแม้แต่น้อย จึงรีบพยุงนางขึ้นมา

พูดกับเหล่าขุนนางว่า “วันนี้เป็นวันมงคลในการแต่งตั้งฮองเฮา ข้าดีใจยิ่งนัก ข้าได้สั่งให้คนจัดงานเลี้ยงสุราที่สวนบุปผาหลวง เพื่อร่วมฉลองความสุขกับเหล่าขุนนางทุกท่าน!”

เหล่าขุนนางโค้งคำนับอีกครั้ง

“ขอบพระทัยพระเมตตาของฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”

“ลุงขึ้นเถิด”

เย่จิ่งอวี้สะยายชุดคลุมมังกร และนั่งลงบนเก้าอี้มังกร

ตำแหน่งด้านล่างขวา วางเก้าอี้หงส์ที่จัดเตรียมไว้เพื่ออินชิงเสวียน

อินชิงเสวียนนั่งลงด้วยความระมัดระวัง กลัวว่าจะทำเรื่องน่าอายออกมา ยายหลี่บอกว่าเก้าอี้หงส์นั่งได้เพียงครึ่งก้นเท่านั้น ยังต้องนั่งหลังตรง ซึ่งเหนื่อยมากจริงๆ

นางนั่งตัวตรงเป็นระเบียบ สายตามองไปยังเหล่าขุนนาง ทันใดนั้นก็เห็นท่านพ่อและพี่ชายของตัวเอง

เห็นว่าทั้งสองคนมองมาที่ตัวเองด้วยดวงตาที่แดงก่ำ อินชิงเสวียนยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้าให้พวกเขา

ลำดับเวลาต่อมา เหล่าขุนนางจะเข้ามาถวายคำอวยพร ถวายของอวยพรให้แก่อินชิงเสวียน อินชิงเสวียนหยิบของขวัญที่ขันทีเตรียมไว้ให้มอบคืนขุนนางทีละคน เมื่อถึงท่านพ่อและพี่ชาย นางทำได้เพียงพยักหน้าอย่างสุภาพเท่านั้น ห้องราชพิธีหลวงไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาจะมาคุยเล่นกัน ระหว่างนี้ อินชิงเสวียนยิ้งอย่างสง่างามอยู่ตลอดเวลา แก้มของนางเริ่มเกร็งเล็กน้อยแล้ว

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดก็ได้ยินเสียงหลี่เต๋อฝูตะโกนให้เลิกพิธีได้ อินชิงเสวียนรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที เมื่อนางลุกขึ้นยืนก็รู้สึกว่าชาขาและเกือบจะล้มลง มือข้างหนึ่งคว้าข้อมือของนางเอาไว้

ฝ่ามือที่ร้อนผ่าวทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกสบายใจ และเงยหน้าขึ้นอย่างอดไม่ได้

ได้ยินเพียงเสียงพูดเบาๆ ของเย่จิ่งอวี้ “เสวียนเอ๋อร์กลับไปพักที่ตำหนักก่อนเถอะ วันนี้มีงานฉลอง ขุนนางใหญ่เหล่านี้ไม่ได้ออกนอกวัง ข้าจะอยู่ร่วมงานกับพวกเขา ช่วงค่ำจะไปรับเจ้าที่ตำหนักจินหวู”

“ทราบแล้วเพคะ”

อินชิงเสวียนยกแขนเสื้อขึ้นและแอบลูบแก้ม

ขันทีสองคนเข้ามาพยุงอินชิงเสวียน และส่งนางขึ้นรถม้าพระที่นั่งหงส์

อินชิงเสวียนเอนหลังลงบนเก้าอี้นุ่ม รู้สึกผ่อนคลายทั้งกายและใจ

พิธีแต่งตั้งฮองเฮาทำให้เหนื่อยไม่ใช่เล่น โชคดีที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิต ไม่เช่นนั้นร่างกายแข็งแรงแค่ไหนก็คงรับไม่ไหว

“งานมงคลในวังมีไม่บ่อยนัก วันนี้เหล่าขุนนางมากับครบครัน ถือว่าได้ผ่อนคลายกันด้วย”

หลี่เต๋อฝูยิ้มแล้วพูดว่า “นี่นับเป็นงานมงคลยิ่งใหญ่มากพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ได้แต่งตั้งฮองเฮาแล้ว พวกที่ชอบพูดนินทาไร้สาระพวกนั้นจะได้หุบปากเสียทีพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้พูดเยาะเย้ยเบาๆ ว่า “หากพวกเขาอยากติฉินนินทา ย่อมหาเหตุผลได้นานับประการ เห็นแก่พวกเขาทำเพื่อหวังดีต่อข้า ข้าจึงไม่อยากสนใจมากนัก”

หลี่เต๋อฝูรีบพูดว่า “ฝ่าบาททรงมีพระเมตตา...”

เขากำลังจะพูดต่อ ทันใดนั้นก็เห็นเย่จั้นเดินเข้ามาจากด้านนอก

“กระหม่อมเย่จั้น ขอถวายบังคมฝ่าบาท!”

“เสด็จอาอย่าได้มากพิธี เสด็จอาไม่ได้ไปที่สวนบุปผาหลวงหรอกหรือ?”

เมื่อเห็นเย่จั้นมีท่าทางอยากพูดบางอย่าง เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีมากๆ

ปรากฏว่า ร่างของเย่จั้นลดตัวต่ำลงกว่าเดิมจนแทบหมอบกราบอยู่แล้ว

เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “วันนี้ได้แต่งตั้งฮองเฮาแล้ว กระหม่อมก็วางใจได้เสียที ขอฝ่าบาทได้โปรดอนุญาตให้กระหม่อมไปจากเมืองหลวงในตอนนี้ด้วย”

“เสด็จอา รีบร้อนขนาดนั้นเชียวหรือ เหตุใดไม่ไปหลังเสร็จงานเลี้ยงเล่า?”

เย่จิ่งอวี้มองท้ายทอยของเย่จั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

ความผูกพันในราชวงศ์นั้นบางเฉียบราวกับน้ำแข็งมา และมีคนไม่มากนักที่จะปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจได้เหมือนเย่จั้น

ความอบอุ่นในวัยเด็กของเย่จิ่งอวี้ล้วนได้มาจากเย่จั้นแทบทั้งสิ้น ภายหลังเสด็จอานำทัพออกจากเมืองหลวง ภายในวังขนาดใหญ่โตก็ไร้ซึ่งความอบอุ่นในทันที

การจากลาตลอดหลายปี ในที่สุดสองอาหลานก็ได้พบกันอีกครั้งในเมืองหลวง หากเป็นไปได้ เย่จิ่งอวี้ก็อยากให้เย่จั้นอยู่ในเมืองหลวง และไม่จากไปไหนอีกตลอดไป!

เย่จั้นหัวเราะอย่างขมขื่น

“คนเราย่อมมีการพบและจากลา ดอกไม้บานและร่วงย่อมกลับคืนสู่ธุลี ตอนนี้ฝ่าบาทแบกรับภาระอันหนักอึ้งได้แล้ว กระหม่อมไม่มีสิ่งใดที่ต้องกังวลอีกต่อไป มีบางสิ่งที่กระหม่อมต้องรีบไปจัดการ แม้ว่าช้าไปหลายปีแล้ว แต่หวังว่า... จะยังไม่สายไป!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์