สวามีข้าโฉมงามดั่งปุบผา นิยาย บท 3

หลังจากเดินมาประมาณ 10 กว่าจั้ง ก็เห็นคราบเลือดจางๆตรงพื้น เมิ่งอู่ปัดใบข้าวฟ่างบนพื้นจึงปรากฏผู้ที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดนอนกองอยู่ตรงนั้น

ที่แท้นางสังเกตเห็นนานแล้ว

เขาเคลื่อนไหวยากลำบากราวกับว่าเป็นมนุษย์เลือด มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่สามารถค่อยๆขยับเขยื้อน จากนั้นเขาก็ยกเปลือกตาขึ้นมองเมิ่งอู่

เมิ่งอู่กับเขาสบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็ค่อยๆโกยใบข้าวฟ่างกลับมาคลุมเขาไว้ หันหลังกลับพร้อมเดินจากไปราวกับว่าไม่ได้พบเห็นสิ่งใดเลย

เสียงไอดังขึ้นสองครั้งจากข้างหลัง อินเหิงกล่าวว่า: "ในเมื่อเจ้าเห็นแล้วแท้ๆ"

เมิ่งอู่กล่าวว่า: "ข้ามองไม่เห็น"

"ข้ากำลังจะตาย"

เมิ่งอู่: "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย"

อินเหิงเงียบลง แล้วกล่าวว่า: "เจ้าไม่ต้องการดูว่าข้ามีรูปร่างลักษณะเช่นใดรึ?"

เมื่อเมิ่งอู่ได้ยินดังนั้นถึงกับหยุดเดิน

ต้องบอกว่าประโยคนี้กระตุ้นความสนใจของเมิ่งอู่ได้สำเร็จจริงๆ......อย่างไรก็ตาม ความเชื่อในชีวิตของนางคือ——มองคนที่ใบหน้าก่อน

อินเหิงกล่าวอีกว่า: "ไม่แน่ว่าหน้าตาอาจจะไม่เลว"

นางหันกลับมาดูมนุษย์เลือดใต้ใบไม้สีเขียวผู้นี้อีกครั้ง ใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด ไม่ได้สัมผัสถึงความงามเอาเสียเลย

เมิ่งอู่เลยถามว่า: “เจ้าเอาความมั่นใจมาจากที่ใด?”

ก็ตามนั้น นางยอมรับว่านางค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น

อินเหิงหลอกล่อนางทีละขั้นว่า: "เจ้าสามารถมาทดสอบได้ด้วยตนเอง"

ขณะที่นางจัดการกับหวังสี่ซุ่น เขานอนฟังอยู่ตรงนี้ตลอด คำพูดของเมิ่งอู่นั้นไม่สามารถแยกออกจากความงามและความอัปลักษณ์ได้ คงเพราะเป็นผู้ที่ใส่ใจเรื่องหน้าตาเป็นสำคัญ

ดังนั้นเขาพูดสองประโยคก็สามารถจับจุดสำคัญของนางได้

เมิ่งอู่ก็ดูออกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หากยังคงถูกทิ้งไว้ที่นี่โดยไม่มีผู้ใดเหลียวแล คงไม่สามารถอยู่รอดภายในสองวันนี้ไปได้

แม้ว่านางจะมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ถนัดในขณะนี้ แต่ทว่าเขามีดวงตาสีอ่อน แม้ว่าจะเย็นชาและเฉยเมยไปบ้าง ก็ยังคงงดงามอย่างยิ่ง

จากนั้นเมิ่งอู่ก็เดินไปหาเขาอีกครั้งและกล่าวว่า: "เห็นแก่ดวงตาคู่นี้ที่ดูดีไม่น้อยของเจ้า ข้าจะพาเจ้าไปล้างหน้าซะก่อน"

ความหมายนี้ของนางเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า หากหลังจากล้างหน้าแล้วปรากฏว่าเขาหน้าตาไม่เลว อาจจะดูแลเขาสักหน่อย หากไม่เป็นดั่งใจหวัง นางก็จะไม่สนใจเป็นแน่

อินเหิงพูดไม่ออก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ของเขาต้องอาศัยใบหน้าเพื่อเป็นการช่วยชีวิตตนเอง

แต่ในเวลานี้นอกจากทำตามคำพูดของนาง ก็ไม่มีทางอื่นใดที่จะทำให้ออกไปจากสถานการณ์นี้ได้

อย่างไรก็ตามหลังจากที่เมิ่งอู่เดินเข้าไปใกล้ ก็ตระหนักว่าเขาได้รับบาดเจ็บมากกว่าที่เมิ่งอู่คาดการณ์ไว้

ถึงร่างกายจะเต็มไปด้วยเลือดก็ช่างเถอะ เมิ่งอู่เริ่มตรวจสอบความแข็งแกร่งของเขาเป็นประการแรก มีบาดแผลทั่วภายนอกของร่างกาย แม้แต่ขาทั้งสองก็หักซะแล้ว

ก่อนหน้านี้แค่มองคู่ต่อสู้มากขึ้นสองครั้งก็ถูกฆ่าโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้ถือเป็นการชดเชยแก่นางรึ?

เมิ่งอู่กล่าวขึ้นอย่างเป็นสุข: "ผู้ที่ทำกับเจ้าต้องโหดเหี้ยมสักเท่าใด ผู้ที่ดูดีเช่นนี้พวกเขาไม่เสียดายเลยถึงได้ลงมือหนักเยี่ยงนี้ได้"

อินเหิงหลับตาและกล่าวอย่างอ่อนแรง: "ก็มิใช่เพราะอิจฉาข้า"

ประโยคง่ายดายที่ว่า "อิจฉาข้า" นั้นเป็นผลให้มองข้ามการเข่นฆ่าที่น่าตื่นตระหนกของเขานี้ไปได้

เพราะใบหน้านี้ของเขา ทัศนคติของเมิ่งอู่ถึงได้เปลี่ยนไปมาก และถามไปว่า: "เจ้านอนอยู่ที่นี่มานานเท่าใด? หิวหรือไม่?"

"นอนอยู่เป็นเวลาวันครึ่ง"

“เช่นนั้นเจ้าคงจะหิวมาก ก่อนอื่นต้องเติมพลัง”

เมิ่งอู่กล่าวในขณะที่หักต้นข้าวฟ่างต้นหนึ่ง ใช้ฟันกัดส่วนเปลือกที่แข็งด้านนอก จากนั้นยื่นแกนที่มีน้ำข้างในให้แก่เขา แล้วพูดว่า "เคี้ยวเข้าสิ มันหวานนะ"

อินเหิงไม่ได้ขยับ และเขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงเคลื่อนไหว

เมิ่งอู่ได้สติกลับมาเลยหัวเราะสองครั้งอย่างไร้เหตุผล และฉวยโอกาสนี้เอาเปรียบโดยกล่าวว่า: "ถ้าเจ้ายอมให้ข้าจุมพิตสักครั้ง ข้าจะช่วยเจ้า"

หมายเหตุ

จั้ง เป็น 'ชื่อหน่วยวัดความยาว' หน่วยหนึ่งในมาตราวัดของจีน (พัฒนามาจาก 'ภาพอักษร' ที่แปลว่า 'มือ' จึงหมายถึง 'สิบ') โดยหน่วยความยาว 'หนึ่งจั้ง' จะหมายถึงความยาวประมาณ 'สิบฟุต' หรือประมาณ '3.3 เมตร

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สวามีข้าโฉมงามดั่งปุบผา